การแกว่งแขนบำบัดโรค

การแกว่งแขนบำบัดโรค

การแกว่งแขนบำบัดโรค


การแกว่งแขนบำบัดโรค
การแกว่งแขนบำบัดโรคความดันโลหิตทั้งสูงและต่ำ หัวใจ ประสาท โรคจิต ไต ตับ อัมพาต เนื้องอก มะเร็ง นอนไม่หลับ โรคโลหิต ถึงโรคเรื้อรังต่าง ๆ แทบทุกโรคที่เกิดจากการเต้นของชีพจรไม่สม่ำเสมอ และเลือดลมที่เดินไม่สะดวกทั้งสิ้น และยังช่วยลดน้ำหนักได้

ความพิเศษของการแกว่งแขนรักษาโรค คือ ส่วนบนว่างและเบา แต่ส่วนล่างแน่นและหนัก การเคลื่อนไหวอ่อนโยนละมุนละไม ตั้งจิตเป็นสมาธิแล้วแกว่งแขนทั้งสองข้าง นี่แหละจะสามารถช่วยให้ท่านที่มีร่างกายอ่อนแอ กล่าวคือส่วนบนแข็งแรงแต่ส่วนล่างอ่อนแอ ให้เปลี่ยนเป็นผู้ที่มีส่วนล่างแข็งแรง และส่วนบนกระชุ่มกระช่วย โรคภัยทั้งหลายก็จะถูกขจัดให้หายไปเอง
การแกว่งแขนเป็นการออกกำลังกายซึ่งสามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลาช่วยลดน้ำหนัก ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง แถมยังสามารถรักษาโรคได้ด้วย
วิธีกายบริหารด้วยการแกว่งแขนนี้ นำมาจากคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นของพระโพธิธรรม (ตั๊กม้อโจ้วซือ) ชื่อว่า คัมภีร์ ต๋า โม๋ อี้ จิน จิง ซึ่งนับเป็นวิธีออกกำลังกายเพื่อส่งเสริมสุขภาพและขจัดโรคภัย ปฏิบัติได้ง่าย แต่ให้ผลเป็นที่น่าอัศจรรย์! การแกว่งแขนนี้เป็นการแกว่งให้เลือดลมเดินได้สะดวก และปรับสภาพเส้นเอ็น โดยจะช่วยรักษาโรคความดันโลหิตทั้งสูงและต่ำ หัวใจ ประสาท โรคจิต ไต ตับ อัมพาต เนื้องอก มะเร็ง นอนไม่หลับ โรคโลหิต ถึงโรคเรื้อรังต่าง ๆ แทบทุกโรคที่เกิดจากการเต้นของชีพจรไม่สม่ำเสมอ และเลือดลมที่เดินไม่สะดวกทั้งสิ้น
การแกว่งแขนจะทำให้การหมุนเวียนโลหิตดีขึ้นตามลำดับ และชีพจรก็จะเต้นได้สม่ำเสมอ นับเป็นการออกกำลังกายที่ง่ายมากทั้งยังให้ผลเกินคาด เพียงแต่ผู้ปฏิบัติต้องมีความขยันและอดทนปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ สามารถทำได้ทุกที่ หากแต่ถ้าจะทำในที่โล่งได้ก็จะดีมากเพราะจะได้อากาศบริสุทธิ์ ยิ่งยืนบนหญ้าก็จะได้แร่ธาตุจากดินจากน้ำค้างด้วย มาดูวิธีการปฏิบัติกันเลยค่ะ
1. ยืนตรง เท้าสองข้างแยกออกจากกันให้มีระยะห่างเท่ากับหัวไหล่
2. ปล่อยมือสองข้างลงตามธรรมชาติ อย่าเกร็ง ให้นิ้วมือชิดกัน หันอุ้งมือไปข้างหลัง
3. หดท้องน้อยเข้า เอวตั้งตรง เหยียดหลัง ผ่อนคลาย กระดูกลำคอ ศีรษะ และปาก ผ่อนคลายตามธรรมชาติ
4. จิกปลายนิ้วเท้ายึดเกาะพื้น ส้นเท้าออกแรงเหยียบลงบนพื้นให้แน่น ให้แรงจนกล้ามเนื้อโคนเท้า โคนขาและท้องตึง ๆ เป็นใช้ได้
5. บั้นท้ายควรให้งอขึ้นเล็กน้อย ระหว่างบริหารต้องหดก้นหรือขมิบทวารหนัก คล้ายยกสูงให้หดเข้าไป ในลำไส้
6. ตามองตรงไปจุดใดจุดหนึ่งจุดเดียว สลัดความคิดฟุ้งซ่าน กังวล ออกให้หมด ทำสมาธิให้รู้สึกอยู่ที่เท้า
7. แกว่งแขนไปข้างหน้าเบาหน่อย ทำมุม 30 องศากับลำตัว แล้วแกว่งไปหลังแรงหน่อย ทำมุม 60 องศากับลำตัว จะทำให้เกิดแรงเหวี่ยง นับเป็น 1 ครั้ง โดยปล่อยน้ำหนักมือให้เหมือนลูกตุ้ม แกว่งแขนไป-มา โดยเริ่มจากทำวันละ 200-300 ครั้ง ค่อยๆ ขยับไป เป็นวันละ 500 ครั้ง จนถึงวันละ 1,000 สูงสุดวันละ 2,000 ครั้ง จะดีมาก ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 30 นาที
ตัวอย่างชาวจีนที่แกว่งแขนบำบัดโรคหาย
1. นายจู อายุ 76 ปี ป่วยเป็นโรคเนื้องอกในสมองและมะเร็งที่ปอด เขาจึงตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะทำการบริหารแกว่งแขน เพื่อบำบัดโรคภัยนี้ เขาได้ทำการบริหารแกว่งแขนตอนเช้า 2,000 ครั้ง และเย็นหรือกลางคืนอีก 2,000 ครั้ง ก็ได้ผลที่เห็นชัด ทำอยู่ 5 เดือน โรคร้ายก็หายขาด
2. นายบั้ง อายุ 48 ปี เป็นช่างไม้อยู่ในโรงงานแห่งหนึ่ง ป่วยเป็นโรคไขข้ออักเสบและอุจจาระเป็นเลือดอยู่ประมาณ 1 ปี ขณะเดียวกันก็เป็นมะเร็งที่กระเพาะอาหาร เมื่อทำการบริหารแกว่งแขนโรคทั้งสองก็หายขาด ส่วนโรคมะเร็งก็กระเตื้องดีขึ้นเรื่อย ๆ
3. นายแต้อายุ 75 ปี เป็นกรรมกรที่ปลดเกษียณของบริษัทรถรางเซี่ยงไฮ้ เป็นโรคความดันโลหิตมานาน 40 ปี และต้องใส่แว่นตาตลอดมา ปัจจุบันนี้ความดันเลือดปกติและไม่ต้องใส่แว่นตาด้วย เพราะเขาเป็นคนหนึ่งที่ได้ออกกำลังกายด้วยการแกว่งแขน
4. นายกู้ อายุ 42 ปี ทำงานอยู่ที่บริษัทขนส่งเมื่อ 10 ปีก่อน เริ่มเป็นโรคตับอักเสบ อาการของโรคเริ่มกำเริบอีกเป็นครั้งที่สอง โดยนายแพทย์ได้ตรวจวินิจฉัยแล้ว ปรากฏว่าเป็นโรคตับแข็ง เขาจึงตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว ว่าจะต้องทำกายบริหารแกว่งแขนโดยไม่แตะต้องยา เขาได้ทำอยู่อย่างสม่ำเสมอและถูกต้องตามกฎเกณฑ์ ปรากฏว่าได้ผล เพราะหลังจากผ่านไป 1 เดือน นายแพทย์ถึงกับงงต่อเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไป
ดังนั้น ลองมาทดลองออกกำลังกายด้วยการแกว่งแขนบำบัดโรคอีกทางเลือกหนึ่งง่ายๆ ลองดูไม่เสียหาย หากไม่เชื่ออย่างน้อยก็ได้ออกกำลังกาย หากเป็นโรคร้ายแรงอยู่ แล้วหายก็ถือว่าโชคดีไป ไม่ต้องเสียเงินและเจ็บตัวไปรักษาราคาแพงที่โรงพยาบาล
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : บทความสุขภาพ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ WWW.KU.AC.TH
บทความ แกว่งแขน…กายบริหารแบบง่ายๆ ช่วยบำบัดโรค จาก women.thaiza.com
อ้างอิง: คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นของพระโพธิธรรม (ตั๊กม้อโจ้วซือ) ชื่อคัมภีร์ ต๋า โม๋ อี้ จิน จิง
ภาพ: ขอบคุณภาพ จาก women.thaiza.com

SHARE NOW

Facebook Comments