สมุนไพรน่ารู้ในวันนี้ แอดมินหยิบเอาเรื่อง “กล้วย”และ “ฟักทอง” มาฝาก
สมุนไพรน่ารู้ในวันนี้ แอดมินหยิบเอาเรื่อง “กล้วย”และ “ฟักทอง” มาฝาก
…ผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารอาหารครบถ้วน ทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน เกลือแร่ เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก วิตามินก็มีครบ ทั้งวิตามินเอ บี อี ซี มีสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่ ป้องกันมะเร็ง คลายเครียด และมีสรรพคุณทางยามากมาย อาทิ
มีการวิจัยโดยใช้กล้วยรักษาโรคกระเพาะ พบว่า..ได้ผลน่าพอใจ เนื่องจากกล้วยไปกระตุ้นให้ผนังกระเพาะสร้างเยื่อเมือกมากขึ้น เยื่อเมือกนี้จะปิดแผล ทำให้แผลหายเร็ว ผู้ที่มีปัญหาแผลในกระเพาะจะมีอาการดีขึ้น กระเพาะแข็งแรงขึ้น โอกาสเป็นแผลก็น้อยลง แต่จะไม่ลดกรดซึ่งจะเป็นการทำลายกลไกธรรมชาติของร่างกาย จนทำให้เกิดความแปรปรวนของธาตุในร่างกาย ดังนั้น กล้วย จึงเป็นทั้งยารักษาและป้องกันโรคกระเพาะในเวลาเดียวกัน
จากการที่กรดอะมิโนทริปโทเฟนที่มีอยู่ในกล้วย เปลี่ยนเป็นซีโรโทนิน ซึ่งเป็นสารที่ช่วยให้เกิดอาการผ่อนคลาย อารมณ์ผ่องใส และรู้สึกมีความสุข เรารู้กันดีว่าความเครียดเป็นปัจจัยเสริมที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะ กล้วยจึงช่วยรักษาโรคกระเพาะอย่างเป็นองค์รวมเลยทีเดียว
กล้วยดิบ มีสารฝาดสมานที่เรียกว่า แทนนิน ซึ่งช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าไปทำลายผนังกระเพาะลำไส้ แก้ท้องเสีย กล้วยที่เพิ่งเริ่มสุก เปลือกยังมีสีเขียวอยู่ประปรายนั้น เป็นทั้งยาและอาหารที่ดีมากสำหรับคนท้องเสีย
..นอกจากแก้ท้องเสียแล้ว ยังช่วยหล่อลื่นลำไส้ เพิ่มกากเวลาถ่าย และมีโพแทสเซียมสูงมาก ดังนั้น การใช้กล้วยแก้ท้องเสียเท่ากับให้โพแทสเซียมชดเชยกับที่สูญเสียไปเวลามีอาการท้องร่วง ถ้าร่างกายสูญเสียโพแทสเซียมไปมากๆ จะทำให้การเต้นของหัวใจผิดปกติ ในคนชราอาจทำให้หัวใจวาย และเสียชีวิตได้
กล้วยสุกงอม มีฤทธิ์ช่วยระบาย เนื่องจากมีเพคตินอยู่เป็นจำนวนมาก จึงช่วยเพิ่มกากให้กับลำไส้ เมื่อผนังลำไส้ถูกดันก็จะทำให้รู้สึกอยากขับถ่าย นอกจากนี้ กล้วยยังมีเส้นใยอาหารชนิดหนึ่ง ที่ร่างกายไม่ย่อย เรียกว่า อินูลิน ซึ่งเป็นอาหารที่เหมาะกับจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในลำไส้ หรือโปรไบโอติกส์ ซึ่งทำหน้าที่ปรับระบบขับถ่ายให้เป็นปกติ
..และเนื่องจากกล้วยน้ำว้าสุกมีฤทธิ์ระบายไม่แรงมาก จึงต้องรับประทานเป็นประจำวันละ 5-6 ลูก ติดต่อกันอย่างน้อย 7 วัน จึงจะเห็นผล โดยสังเกตได้ว่าอุจจาระจะเป็นสีเหลือง ไม่มีกลิ่นเหม็น เนื่องจากการทำงานของโปรไบโอติกส์นั่นเอง อีกทั้งกล้วยยังช่วยหล่อลื่นในการขับถ่าย จึงไม่ต้องออกแรงเบ่งมาก และรู้สึกว่าถ่ายออกหมดไม่เหลือกากตกค้าง
หยวกกล้วยอ่อน หรือส่วนแกนในของต้นกล้วยอ่อน ประกอบด้วยเส้นใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำเป็นส่วนใหญ่ เส้นใยเหล่านั้นจะช่วยดูดซับสิ่งสกปรก สารพิษตามลำไส้ สิ่งที่ไม่สามารถย่อยได้ และยังช่วยกระตุ้นลำไส้ให้บีบตัวดันของเสียนั้นออกมา ซึ่งหมายถึงการลดโอกาสที่สารพิษเหล่านั้นจะไปก่อให้เกิดมะเร็งในระบบทางเดินอาหารนั่นเอง
…อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินบี 5 วิตามินบี 6 วิตามินซี วิตามินอี ฟอสฟอรัส แคลเซียม โพแทสเซียม โซเดียม แมงกานีส ธาตุเหล็ก ซิงค์ และแร่ธาตุอื่น ๆ อีกมากมาย
…นอกจากนี้ ฟักทอง ยังเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ เพราะมีกากใยสูง มีแคลอรีและไขมันน้อย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก
“ฟักทอง” มีวิตามินเอสูงมาก โดยฟักทอง 100 กรัม จะให้วิตามินเอสูงถึง 7384 ไอ.ยู. ซึ่งวิตามินเอ นอกจากจะช่วยเรื่องผิวพรรณแล้ว ยังมี ส่วนช่วยในการมองเห็น บำรุงสายตา ทำให้การมองเห็นในที่มืดดีขึ้น ป้องกันเยื่อบุนัยน์ตาแห้ง
…ผลฟักทอง มีสารสำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อดวงตา คือ สารลูทีน (Lutein) และซีแซนทีน (Zeax-anthin) ซึ่งเป็นสารที่อยู่ในกลุ่มแคโรทีนอยด์ พบมากบริเวณจอรับภาพของจอประสาทตาและเรตินา หรือจอตา โดยจะทำหน้าที่กรองแสงที่เป็นอันตรายต่อดวงตา เช่น แสงแดด แสงสีฟ้าจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือ สมาร์ทโฟน ที่มีผลทำให้จอประสาทตาเสื่อม นอกจากนี้ ยังมีผลในการต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความเสื่อมของดวงตา มีผลป้องกันโรคตาเสื่อม และทำให้การมองเห็นดีขึ้น