แจกสูตรกระเทียมดอง
Synergy Japan สาระความรู้ทั่วไป
เขียนอะไรตามใจ ที่อยากบอกอยากเล่า เอามาฝาก
📌 คลายข้อสงสัย ฟ้าทะลายโจรกับหวัด
1.ฟ้าทะลายโจรอภัยภูเบศร ประกอบด้วยผงยา 400 mg มีสารสำคัญ Andrographolide เฉลี่ย 12 mg/แคป
2. ขนาดรักษา {มีอาการแล้วของหวัด เช่น ไข้ ไอ เจ็บคอ} ตามบัญชียาหลักแห่งชาติ แนะนำขนาด 3×4 ในคนอายุ 12 ปีขึ้นไป ห้ามใช้ในคนท้องและให้นมบุตร
#หายแล้วหยุดยาได้เลย ไม่ได้ระบุวันที่ควรกิน แต่ปกติหวัดธรรมดา ควรจะต้องหายภายใน 1-2 สัปดาห์
#กินเร็ว เห็นผลเร็ว จากฤทธิ์กระตุ้นภูมิ
เช่น ถ้าครั่นเนื้อครั่นตัว กลืนน้ำลายแล้วเจ็บคอ รุมๆเหมือนจะเป็นไข้ กินเลย 3 เม็ดทันที ถ้าอาการไม่มาก บางทีกินครั้งเดียว อาการหายได้เลย
#ในช่วงที่มีการระบาดของ COVID-19 กินแล้วภายใน 24 ชม อาการแย่ลง หรืออาการรุนแรงแต่แรก ต้องไปพบแพทย์เลย ไม่ควรเสียโอกาสในการรักษา
3. ขนาดป้องกันหวัดอ้างอิงจากงานวิจัย ให้เด็กมัธยม อายุเฉลี่ย 18 ปี จำนวน 107 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ครึ่งหนึ่งกินยาหลอก อีกครึ่งกินสารสกัดฟ้าทะลายโจร Andrographolide วันละ 11.2 mg x 5 วันต่อสัปดาห์ x 3 เดือน หวังผลเรื่องการเสริมภูมิ วัดผลจากอัตราการเป็นหวัด พบว่าช่วยลดการเป็นหวัดลง 2 เท่า เมื่อเทียบกับกลุ่มยาหลอก {อัตราการเป็นหวัด 30% VS 62%}
……..ดังนั้นจึงเป็นที่มาของการแนะนำให้กินป้องกัน เสริมภูมิ ในคนปกติ อายุ 12 ปีขึ้นไป วันละเม็ด วันเว้นวัน ได้นาน 3 เดือน
4. การศึกษาในเด็ก พบงานวิจัยใช้สารสกัด Andrographolide 10 mg วันละ 3 ครั้ง x 10 วัน รักษาหวัดที่ไม่มีอาการแทรกซ้อน ในเด็กอายุ 4-11 ปี จำนวน 130 คน พบว่าช่วยบรรเทาอาการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจส่วนบนได้เร็วกว่ากลุ่มที่ได้สมุนไพร Echinacea และยังช่วยลดน้ำมูก และลดอาการบวมคั่งในจมูก
ดังนั้นการใช้ฟ้าทะลายโจรในเด็กอายุ 4-11 ปี แนะนำขนาดรักษาแคปซูลปกติ วันละ 1-2 เม็ด ไม่เกิน 10 วัน ส่วนขนาดป้องกัน ข้อมูลยังไม่มีรายงานความปลอดภัยระยะยาว อนึ่ง ตัวผงยามีความขมมาก เด็กอาจไม่สามารถทนรสยาได้ หากต้องแบ่งผงแกะออกมาใช้
การกินฟ้าทะลายโจรระยะยาว มีเคสที่กินนานเป็นปี แล้วอ่อนแรง อธิบายตามองค์ความรู้แผนไทยว่าเป็นยาเย็น หากใช้ขนาดสูง ติดต่อกันนานหลายเดือน ธาตุไฟในร่างกายจะหย่อน เกิดอาการมือเท้าเย็น ชา อ่อนแรง เปลี้ยหนาวง่าย และอาจทำให้ตับทำงานหนัก เพราะตับเป็นแหล่งผลิตความร้อนที่สำคัญของร่างกาย ในมุมมองแผนไทย
🔐🔐 Ref
1. Caceres DD, Hancke JL, Burgos RA, Wikman GK. Prevention of common colds with Andrographis paniculata dried extract. A Pilot double blind trial. Phytomedicine : international journal of phytotherapy and phytopharmacology. 1997;4(2):101-4.
2. Spasov AA, Ostrovskij OV, Chernikov MV, Wikman G. Comparative controlled study of Andrographis paniculata fixed combination, Kan Jang and an Echinacea preparation as adjuvant, in the treatment of uncomplicated respiratory disease in children. Phytotherapy research : PTR. 2004;18(1):47-53.
#ศูนย์หลักฐานเชิงประจักษ์ด้านการแพทย์แผนไทยและสมุนไพรกลุ่มงานเภสัชกรรมโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร
Cr. ภญ.อาสาฬา เชาวน์เจริญ
🍃
สมุนไพรตัวช่วย..เพื่อผู้ป่วยเบาหวาน
🔎 มีรายงานการศึกษาวิจัยสรรพคุณการลดน้ำตาลในเลือดของมะระขี้นก พบว่า…มะระขี้นก มีสารออกฤทธิ์คล้ายอินซูลิน กระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ยับยั้งการสังเคราะห์กลูโคส และเพิ่มการใช้กลูโคสของตับ
…โดยองค์ประกอบทางเคมีของมะระขี้นก ที่มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด คือ p-Insulin, Charantin และ Visine และสามารถใช้ได้ทั้งในรูปแบบของน้ำคั้น ชาชง แคปซูล และผงแห้ง
👉🏻ในส่วนการทดลองทางคลินิก มีรายงานว่า น้ำคั้นจากมะระขี้นก 50 มิลลิลิตร และ 100 มิลลิลิตร เพิ่มความทนต่อน้ำตาลของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ และยังพบเช่นเดิมในผู้ที่กินผลมะระแห้ง 0.23 กิโลกรัมต่อวันเป็นเวลา 8-11 สัปดาห์ และกินผงมะระขี้นกแห้ง 50 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เป็นเวลา 7 วัน
👉🏻ความเป็นพิษ การศึกษาด้านพิษวิทยาและความปลอดภัยของมะระขี้นก พบว่า..เมล็ดมีสารโมมอร์คาริน (momorcharin)ที่เป็นพิษต่อระบบสืบพันธุ์ในสัตว์ทดลอง คือ สารดังกล่าวมีฤทธิ์ทำให้แท้งในหนูถีบจักร ไม่มีพิษต่อเซลล์ แต่มีผลกระทบต่อเซลล์ของตัวอ่อนในระยะสร้างอวัยวะ ทำให้ส่วนหัว ลำตัว และขามีรูปร่างผิดปกติ แต่เมล็ดก็สามารถแยกส่วนออกไปได้ง่าย ดังนั้น จึงน่าจะมีความปลอดภัยในการนำมาใช้พอสมควร
✅ มะระขี้นก จึงเป็นพืชผักสมุนไพรที่ควรส่งเสริมให้ใช้เป็นสมุนไพรสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน จากการที่มีรายงานการศึกษาวิจัยถึงสรรพคุณการลดน้ำตาลในเลือดทั้งในสัตว์ทดลอง และในคนเป็นจำนวนมาก และรูปแบบวิธีใช้ที่ให้ผลลดน้ำตาลในเลือดก็ไม่ซับซ้อน คือ สามารถใช้ได้ทั้งน้ำคั้น ชงเป็นชา หรือกินในรูปแบบของแคปซูล หรือผงแห้ง
🔻ตำรับยา
1️⃣ น้ำคั้นสด
ให้นำผลมะระขี้นกสด 8-10 ผล เอาเมล็ดในออก ใส่น้ำเล็กน้อย ปั่นคั้นเอาแต่น้ำดื่ม (ประมาณ 100 มล.) หรือรับประทานทั้งกาก แบ่งรับประทานวันละ 3 เวลา ต่อเนื่อง
2️⃣ ชาชง
ให้นำเนื้อมะระขี้นกผลเล็กซึ่งมีตัวยามากมาผ่าเอาแต่เนื้อ หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ตากแดดให้แห้ง แล้วชงกับน้ำเดือด โดยใช้มะระขี้นก 1-2 ชิ้น ต่อน้ำ 1 ถ้วย ดื่มแบบชาครั้งละ 2 ถ้วย วันละ 3 เวลา หรือต้มเอาน้ำมาดื่มหรือใส่กระติกน้ำร้อนดื่มแทนน้ำ ไม่เกิน 1 เดือนเห็นผล
3️⃣ แบบแคปซูล
แนะนำทานมะระขี้นก 500-1,000 มิลลิกรัม หรือ 1-2 แคปซูล วันละ 1-2 ครั้งก่อนอาหาร
🚫สตรีมีครรภ์ ให้นมบุตร เด็กและคนที่มีน้ำตาลในเลือดต่ำไม่ควรรับประทาน
Cr.ภาพจาก www.doctor.or.th
#มะระขี้นก #ลดน้ำตาลในเลือด #เบาหวาน #สมุนไพรอภัยภูเบศร #สมุนไพรเกษตรอินทรี #GMP
🍃ใบหม่อน…ลดน้ำตาลในเลือด
“หม่อน” หรือ “mulberry” ปัจจุบันนิยมนำหม่อนทั้งในส่วนของผลและใบมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ ทั้งรับประทานเป็นอาหารและเครื่องดื่มสำหรับสุขภาพกันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะชาใบหม่อน ซึ่งกล่าวว่ามีสรรพคุณเด่นในการลดน้ำตาลในเลือด
🍃ในใบหม่อนมีสาร DNJ ซึ่งเป็นสาระสำคัญในการออกฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด โดยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ α-glucosidase ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ย่อยน้ำตาลโมเลกุลคู่ให้เป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว จึงมีผลทำให้น้ำตาลในเลือดลดลงได้
🔰การศึกษาวิจัยฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาถึงผลในการลดน้ำตาลของใบหม่อน เพื่อสนับสนุนในการที่จะนำมาใช้รักษาเบาหวาน พบว่า…มีการศึกษาทั้งในหลอดทดลอง สัตว์ทดลอง และการศึกษาทางคลินิก
✳️ โดยในหลอดทดลองและสัตว์ทดลอง พบว่า..>> สารสกัดและชาใบหม่อน มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ α-glucosidase ยับยั้งการดูดซึมกลูโคส และลดน้ำตาลในเลือดได้ สารสำคัญในการออกฤทธิ์ คือ สาร 1-deoxynojirimysin (DNJ) ซึ่งเป็นสารกลุ่มแอลคาลอยด์ ที่มีโครงสร้างคล้ายน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว (monosaccharides)
✳️ สำหรับการศึกษาทางคลินิก พบว่า..>> การรับประทานผงใบหม่อนขนาด 5.4 ก./วัน ร่วมกับน้ำ (แบ่งรับประทานครั้งละ 1.8 ก. วันละ 3 ครั้ง) เป็นเวลา 3 เดือน มีผลทำให้ผู้ป่วยเบาหวานมีระดับน้ำตาล และระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือดลดลง และไม่พบอาการข้างเคียงใดๆ
✳️ และในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่รับประทานแคปซูลผงใบหม่อน ขนาด 6 แคปซูล/วัน (ครั้งละ 2 แคปซูล วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร (1 แคปซูล มีผงใบหม่อน 500 มก. เท่ากับ 3 ก./วัน) เป็นเวลา 30 วัน เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยา glibenclamide ขนาด 5 มก./วัน พบว่า..>> กลุ่มที่ได้รับผงใบหม่อนมีระดับน้ำตาลในเลือดลดลง แต่ไม่มีผลต่อระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสม และยังมีผลลดคอเลสเตอรอลรวม ไตรกลีเซอไรด์ กรดไขมันอิสระ LDL และ VLDL และเพิ่มระดับของ HDL อีกด้วย ..ในขณะที่กลุ่มที่ได้รับยา glibenclamide ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง แต่ไม่มีผลต่อระดับไขมันในร่างกาย ยกเว้นระดับไตรกลีซอไรด์ที่มีค่าลดลง
✳️ การศึกษาในอาสาสมัครที่มีความเสี่ยงเป็นเบาหวาน (ระดับน้ำตาลในเลือด 100-140 มก./ดล.) รับประทานแคปซูลสารสกัดจากใบหม่อน ขนาด 1, 2 และ 3 แคปซูล (ซึ่งมี DNJ เท่ากับ 3, 6 และ 9 มก./แคปซูล) ก่อนอาหาร เป็นเวลา 15 นาที พบว่า..>> มีผลลดระดับน้ำตาลในเลือดหลังรับประทานอาหาร และลดการหลั่งอินซูลินได้
✳️การศึกษาผลความปลอดภัยของการรับประทานผงสารสกัดจากใบหม่อนในระยะยาว โดยให้อาสาสมัครสุขภาพดีรับประทานผงสารสกัดใบหม่อน ขนาด 3.6 ก./วัน (ครั้งละ 1.2 ก. ก่อนอาหาร วันละ 3 ครั้ง ; DNJ เท่ากับ 54 มก./วัน ) เป็นเวลา 38 วัน พบว่า..>> สารสกัดใบหม่อนไม่ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ หรือเกิดความผิดปกติของไขมันในร่างกาย ไม่มีผลต่อค่าชีวเคมีในเลือดและไม่เกิดอาการข้างเคียงที่อันตรายต่อระบบทางเดินอาหาร
🔹🔸จากการทดลองทั้งหมด ช่วยให้เราสรุปผลได้ว่า..ใบหม่อนมีผลลดน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นเบาหวาน และคนปกติได้..โดยไม่ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดลดต่ำ ไม่เกิดอาการข้างเคียงที่อันตรายเมื่อรับประทานต่อเนื่องนาน 1 เดือน และมีการศึกษาที่รับประทานในระยะยาว 12 สัปดาห์ ก็ไม่พบผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายเช่นกัน
✅ วิธีใช้
ปัจจุบันในท้องตลาดจะมีผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มชาใบหม่อนให้เลือกอยู่หลากหลายยี่ห้อ แต่เราสามารถทำชาใบหม่อนภายในครัวเรือนได้เอง โดยใช้ใบหม่อนสดหรือใบแห้ง 2-6 กรัม แช่น้ำร้อน 100-200 มิลลิลิตร แช่ทิ้งไว้นานอย่างน้อย 6 นาที รินดื่มเป็นชา ก่อนอาหาร วันละ 2-3 ครั้ง
⛔️ข้อควรระวัง
ควรระมัดระวังในการใช้หม่อนร่วมกับยารักษาเบาหวาน โดยเฉพาะยาในกลุ่มที่ออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ α-glucosidase เช่น Acarbose เพราะหม่อนมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ α-glucosidase ได้เช่นกัน ดังนั้นอาจจะไปเสริมฤทธิ์ของยา ทำให้น้ำตาลในเลือดลดต่ำลงมากได้
🔻จากข้อมูลงานวิจัยข้างต้น นับได้ว่า “ใบหม่อน” มีศักยภาพในการนำมาใช้ลดระดับน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ป่วยเบาหวานได้ แต่ควรมีการศึกษาเพิ่มเติมในเรื่องขนาดการใช้ที่เหมาะสม และความปลอดภัยเมื่อรับประทานต่อเนื่องเป็นเวลานาน
▶️ เอกสารอ้างอิง
◾️อรัญญา ศรีบุศราคัม. ใบหม่อนกับโรคเบาหวาน. จุลสารข้อมูลสมุนไพร 2557:32(1);3-9.
◾️กรมหม่อนไหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. (นายวิโรจน์ แก้วเรือง ผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์หม่อนไหม). “หม่อน & ไหม… พืชและเส้นใยแห่งอนาคต”.
◾️Vichasilp C, Nakagawa K, Sookwong P, Higuchi O, Luemunkong S, Miyazawa T. Development of high 1-deoxynojirimycin (DNJ) content mulberry tea and use of response surface methodology to optimize tea-making conditions for highest DNJ extraction. LWT – Food Sci Technol 2012;45:226-32.
◾️Kwon HJ, Chung JY, Kim JY, Kwon O. Comparison of 1-deoxynojirimycin and aqueous mulberry leaf extract with emphasis on postprandial hypoglycemic Effects: In vivo and in vitro studies. J Agric Food Chem 2011;59:3014-9.
◾️Watanabe K, Nakano R, Inoue M, et al. Basic and clinical study. Effects and toxicity studies of the mulberry leaf powder (Morus alba leaves) in volunteers with hyperglycemia and normoglycemia. Niigata Igakkai Zasshi 2007;121(4):191- 200.
◾️Andallu B, Suryakantham V, Srikanthi BL, Reddy GK. Effect of mulberry (Morus indica L.) therapy on plasma and erythrocyte membrane lipids in patients with type 2 diabetes. Clinica Chimica Acta 2001;314:47-53.
◾️Asai A, Nakagawa K, Higuchi O, et al. Effect of mulberry leaf extract with enriched 1-deoxynojirimycin content on postprandial glycemic control in subjects with impaired glucose metabolism. J Diabetes Invest 2011;2(4):318-23.
◾️Kimura T, Nakagawa K, Kubota H, et al. Food-grade mulberry powder enriched with 1-deoxynojirimycin suppresses the elevation of postprandial blood glucose in humans. J Agric Food Chem 2007;55:5869-74
Cr. ขอบคุณภาพจาก health.kapook.com
#สมุนไพรน่ารู้ #ใบหม่อน #mulberry #ชาใบหม่อน #ลดน้ำตาลในเลือด #สมุนไพรอภัยภูเบศร
ยาดอง…กินพอดีเป็นยา
ยาดอง คือ การหมักสมุนไพรหรือการแช่สมุนไพร เพื่อเป็นโอสถหรือยารักษาโรคต่างๆ มีสรรพคุณช่วยในการไหลเวียนโลหิต แก้ปวดเมื่อย บำรุงร่างกาย ปรับสมดุลร่างกาย ทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง ดังนั้น ยาดอง จึงถือได้ว่าเป็นยาอายุวัฒนะ เมื่อกินถูกกับโรค ในปริมาณที่เหมาะสม ก็จะทำให้อายุยืน ทั้งนี้ การดองเป็น 1 ใน 28 วิธี การทำยาของไทย เป็นวิธีในการสกัดยาอย่างหนึ่งจากสมุนไพร การดองจึงมีสารสำคัญออกมาในปริมาณที่มีความเข้มข้น ดังนั้น การกินยาดอง จึงควรกินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ยาดองแพทย์แผนไทย แบ่งได้ 6 แบบ คือ
1. ยาดองสุรา ซึ่งเป็นการนำสุรามาเป็นตัวสกัดโอสถสารในสมุนไพรออกมา เนื่องจากสุราสามารถฆ่าเชื้อได้ดี ซึ่งความเข้มข้นของสุราที่นิยมนำมาดองสมุนไพร คือ 40 ดีกรี วิธีกิน ให้กินวันละ 2 ครั้ง เช้า เย็น ครั้งละ 30 ซีซี แต่มีข้อควรระวัง คือ ผู้ป่วยความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคตับ สตรีมีครรภ์ และผู้ที่แพ้สุรา ควรหลีกเลี่ยง
2. ยาดองแป้งข้าวหมาก เป็นการนำสมุนไพรมาดองกับแป้งข้าวหมากหรือลูกข้าวหมาก โดยสมุนไพรที่นำมาดองนั้นจะเป็นสมุนไพรที่มีน้ำตาลสูง อีกทั้ง แป้งข้าวหมากเมื่อหมักเป็นเวลาสักระยะหนึ่งจะเกิดเป็นแอลกอฮอล์ ดังนั้น จึงสามารถใช้ในการควบคุมเชื้อต่างๆ ได้ดี และยังช่วยในเรื่องของการย่อยอาหารได้ดีอีกด้วย
3. ยาดองเกลือ เป็นการหมักโดยใช้เกลือเป็นตัวสกัดสารสำคัญในตัวยา เนื่องจากเกลือมีรสเค็ม และมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อได้ดี ยาดองเกลือเป็นการดองที่ไม่ใช้น้ำ แต่จะใช้การโรยเกลือสลับกับการวางสมุนไพรเรียงเป็นชั้นๆ จนเต็มภาชนะและดองทิ้งไว้
4. ยาดองน้ำผึ้ง เป็นการดองโดยใช้ความเข้มข้นของน้ำตาล ที่เลือกใช้น้ำผึ้งเป็นตัวสกัดสารสำคัญในตัวยาออกมานั้น เพราะน้ำผึ้งจะทำการดึงน้ำออกมาจากสมุนไพร และยังเป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยแก้อาการอ่อนเพลีย บำรุงร่างกาย โดยตัวอย่างยาดองน้ำผึ้ง เช่น ยอดองน้ำผึ้ง บอระเพ็ดดองน้ำผึ้ง มะขามป้อมดองน้ำผึ้ง กล้วยดองน้ำผึ้ง เป็นต้น
5. ยาดองเปรี้ยว เป็นการดองโดยใช้สมุนไพรที่มีรสเปรี้ยว มีฤทธิ์การควบคุมเชื้อแบคทีเรียได้ดี มีสรรพคุณ เป็นยาบำรุงเลือด ยาฟอกเลือด ยาระบายอ่อน เช่น ยาดองน้ำส้มสายชู ยาดองน้ำมะนาว ยาดองน้ำมะกรูด
6. ยาดองน้ำมูตร (น้ำมูตร หรือน้ำปัสสาวะ) เป็นการดองในสมัยโบราณ โดยมีปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกว่า “ให้พระภิกษุฉันยาดองน้ำมูตร เพื่อรักษาอาการอาพาธ” ซึ่งสมุนไพรที่ใช้ส่วนใหญ่จะเป็นสมุนไพรที่มีรสเปรี้ยวซึ่งมีฤทธิ์ในการควบคุมการก่อเชื้อ และจากการศึกษาพบว่า น้ำปัสสาวะ มีความเค็มและมียูเรียเป็นองค์ประกอบ จึงทำให้ปัสสาวะมีประสิทธิภาพในการุคมเชื้อเพิ่มมากขึ้น มีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะ ลดไข้ ขับพิษต่างๆ ได้ เช่น สมอดองน้ำมูตร
Cr. มูลนิธิหมอชาวบ้าน
(เครดิตภาพ : Chill up, phuketthaitraditional, ปาริชาติ)
หม่อนบ้านเรา : เกาต์ยอมแพ้ …🦵..😍
.
🎩…เวลาเราเรียกต้นหม่อนหรือลูกหม่อนดูชื่อบ้านๆไม่น่าสนใจ แต่พอมีคนเรียกหม่อนว่ามัลเบอร์รี่ ดูโกอินเตอร์ขึ้นมาทันที
.
🍕 …เดี๋ยวนี้คนไทยไม่นิยมปลูกต้นหม่อนเพื่อเอาใบไปเลี้ยงหนอนไหมกันแล้ว แต่เขาปลูกใบไปทำชาและเก็บลูกไปขายเป็นผลไม้ได้ราคาดี ยังเอาไปทำเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ทำแยม ทำเค้ก ก็อร่อยมากๆ
.
…การศึกษาวิจัยทางคลินิกเกี่ยวกับหม่อนหรือมัลเบอร์รี่ถือว่าโกอินเตอร์อย่างมาก มีงานวิจัยอย่างกว้างขวาง ซึ่งเป็นข้อมูลยืนยันสรรพคุณทางยาพื้นบ้านที่ใช้มานานหลายอย่าง ทั้งลดความดัน เบาหวาน บวมตามร่างกาย ข้ออักเสบ ปวดตามข้อ ปวดตามหัวเข่า บำรุงไต เป็นต้น
.
🦵 …โดยเฉพาะโรคเกาต์ (ข้ออักเสบ ปวดตามข้อ) ในตำรายาจีนใช้หม่อนช่วยรักษาได้ โดยมีงานวิจัยพบว่า สารสกัดจากใบหม่อนช่วยลดกรดยูริกในหนูทดลอง และยังพบว่าสารมัลเบอร์โรไซด์ เอ ( mulberroside A) ที่พบในหม่อนมีผลขับกรดยูริกในปัสสาวะและมีฤทธิ์ป้องกันไต ลดค่า BUN และ Creatinine ในหนูที่มีกรดยูริคในเลือดสูง
.
👤…สารสกัดใบหม่อนมีฤทธิ์ต้านการเกิดนิ่วในไตด้วย ช่วยสลายนิ่ว ทั้งป้องกันการเกิดนิ่วและทำให้การทำงานของไตดีขึ้นด้วย
.
…ใครปลูกหม่อนไว้ที่บ้าน ให้นำยอดใบอ่อนมาล้างให้สะอาด ตากแห้งแล้วนำไปคั่วให้หอม มาทำเป็นชาใบหม่อน ใช้ชาใบหม่อนหนึ่งหยิบมือ ( 3 นิ้วหยิบ ) ต่อน้ำร้อนหนึ่งแก้ว รอให้อุ่นแล้วนำมาดื่ม เช้ากับเย็น
.
🥤…ส่วนผลสุกของลูกหม่อนหรือมัลเบอร์รี่ ผลสุกเต็มที่มีสีดำ รสหวานอมเปรี้ยว กินเปล่าๆหรือจิ้มพริกเกลือ เอามาทำเป็นเครื่องดื่ม เหยาะเกลือนิด น้ำตาลหน่อยก็อร่อย
.
🦅… ส่วนผลแดงจะยังไม่สุกเต็มที่ รสออกเปรี้ยวไม่อร่อยเท่ารอให้สุกเป็นสีดำ เพียงแต่ต้องแย่งเก็บให้ทันก่อนนกกินจ้า
.
💋 …กระซิบข้างหู : ชาใบหม่อนดื่มเป็นชาเพื่อสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวานได้ ภายใต้การกินยาแผนปัจจุบันตามแพทย์สั่ง แต่ต้องระวังไม่กินเข้มข้นเกินไปจนระดับน้ำตาลในเลือดตก
.
#หม่อน #มัลเบอร์รี่ #เกาต์ # เบาหวาน # ไต #สมุนไพร #การใช้สมุนไพร #สมุนไพรอภัยภูเบศร (more…)
💐❤️ กุหลาบ..ดอกไม้แห่งความรัก
ดอกสวย…รวยสรรพคุณ
“กุหลาบ” นอกจากจะเป็นดอกไม้ที่เป็นตัวแทนวันแห่งความรักแล้ว ยังมีประโยชน์อีกมากมายด้วยนะคะ
…ในสมัยโบราณมีการใช้กุหลาบทางการแพทย์มากมาย แพทย์หลายคนได้ใช้น้ำต้มกุหลาบรักษาอาการเส้นประสาทอักเสบ ใช้ควันจากดอกกุหลาบรมเพื่อรักษาคนไข้ปอดอักเสบ หรือใช้สารสกัดกุหลาบสำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจและโรคไต
⭐️ประโยชน์ของกุหลาบ
👉🏻🌹กลีบกุหลาบ อุดมไปด้วยวิตามินซี แคโรทีน วิตามินเค แคลเซียม และแร่ธาตุต่างๆ ที่จำเป็นต่อร่างกายและระบบเลือด เรียกได้ว่า วิตามินและเกลือแร่ต่าง ๆ ที่ร่างกายต้องการนั้น มีอยู่ครบถ้วนในกลีบกุหลาบ
👉🏻🌹มีการศึกษาข้อมูลพบว่า.. เชื้อแบคทีเรียจะตายภายใน 5 นาที เมื่อสัมผัสกับกลีบกุหลาบสด ซึ่งหากมีปัญหาผิวหนังติดเชื้อ มีสิว แผลเปิด ไฟไหม้ ผิวผื่นแพ้ สามารถใช้กลีบกุหลาบสดรักษาได้
…โดยการเก็บกลีบกุหลาบมาใช้นั้น แนะนำให้เก็บตอนเช้ามืดในช่วงที่อากาศยังสะอาดบริสุทธิ์ หรือในช่วงที่มีความชื้นในอากาศมาก เช่น ยามหลังฝนตกหรือเช้ามืดที่มีน้ำค้างพรมบนกุหลาบ ซึ่งสามารถนำไปใช้ทันทีโดยไม่ต้องล้าง เพื่อรักษาคุณค่าทั้งหลายในกลีบเอาไว้ การนำมาใช้ก็สามารถทำได้ตั้งแต่การทำสารสกัดกุหลาบ การทำชา หรือการสกัดน้ำมันหอมระเหย
👉🏻🌹การอาบน้ำกลีบกุหลาบ ก็มีประโยชน์ต่อสุขภาพเช่นกัน สามารถช่วยคลายเครียด ลดความวิตกกังวล และช่วยบำรุงผิว
>>ทำได้โดยการนำกลีบกุหลาบสดครึ่งถ้วย ใส่ชามขนาดใหญ่ เติมน้ำร้อนและปิดฝาทิ้งไว้เพื่อรักษากลิ่นของกุหลาบ เมื่อจะอาบน้ำให้เทน้ำกุหลาบที่เตรียมไว้ผสมกับน้ำอุ่นในอ่างน้ำอาบ และอาจเติมน้ำคั้นหัวบีตรูตเพื่อเสริมสรรพคุณของกุหลาบให้ดีขึ้น
👉🏻🥀กุหลาบแห้ง สามารถนำมาป่นให้เป็นผงผสมกับน้ำผึ้ง ใช้ทาภายในช่องปากเพื่อรักษาอาการอักเสบในช่องปาก ปัญหาของเหงือกและฟันได้
👉🏻🌹สเปรย์น้ำกุหลาบ มีสรรพคุณทางการดูแลสุขภาพ โดยมีวิธีการทำคือ >>ใช้กลีบกุหลาบ 10 กรัม เทใส่อ่างเติมน้ำร้อน กรองเอาน้ำมาใช้ เทใส่ขวดสเปรย์ ฉีดพ่นบริเวณที่ต้องการ เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวด หากใช้น้ำกุหลาบขณะอุ่นจะช่วยบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อจากรูมาตอยด์
👉🏻🌹มาส์กกุหลาบ สำหรับผู้ที่มีผิวมันหรือผิวที่มีปัญหาสิว ทำให้ผิวสดใส มีชีวิตชีวา
…วิธีการทำ >>นำกลีบกุหลาบมาตากให้แห้ง บดเป็นผง เติมน้ำเล็กน้อย คนให้เข้ากัน นำมาทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออก
👉🏻🍶ชากลีบกุหลาบ เหมาะสำหรับรักษาอาการหวัดเจ็บคอ หลอดลมอักเสบ บำรุงร่างกายให้แข็งแรง เป็นเครื่องดื่มสุขภาพที่ดี เพราะอุดมไปด้วยวิตามินและเกลือแร่มากมาย
👉🏻🍷น้ำกุหลาบ โดยนำกลีบดอกกุหลาบสด ประมาณ 1 ถ้วย ใส่ในภาชนะ เติมน้ำเดือด 2 ถ้วย ปิดฝาทิ้งไว้ให้เย็น รินเอาแต่น้ำมาใช้ทาหน้าหรือใช้แทนโทนเนอร์ปรับสภาพผิวหลังล้างหน้า ส่วนที่เหลือเก็บไว้ใช้เมื่อต้องการได้
👉🏻🌹น้ำมันที่สกัดจากกลีบดอกของกุหลาบ มีสรรพคุณในการรักษาโรคต่างๆ มากมาย เช่น ทำให้ร่างกายทำงานอย่างสอดคล้อง สมดุล ปรับระบบภูมิต้านทานให้แข็งแรง ปรับระบบการทำงานของต่อมไร้ท่อ ปรับการทำงานของระบบประสาทให้สมดุล
…น้ำมันกุหลาบจัดเป็นน้ำมันที่ดีต่อระบบย่อยอาหาร เพราะช่วยสมานแผลกระเพาะอาหาร ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และลดการหมักหมมของเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะอาหารและลำไส้ ช่วยปรับสมดุลการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ แพทย์บางท่านได้มีการสั่งน้ำมันกุหลาบให้ผู้ป่วยโรคหัวใจสูดดม เพื่อลดอาการเจ็บแน่นหน้าอก
👉🏻🌹น้ำมันหอมระเหยจากกุหลาบ ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะ วิงเวียน อ่อนเพลีย หรือแม้แต่เพียงการสูดดมกลิ่นหอมจากกุหลาบ ก็สามารถช่วยขจัดอารมณ์เศร้าหมองวิตกกังวล ปัญหาเครียด จิตใจฟุ้งซ่าน อาการปวดศีรษะ ไอ และอาการหวัดได้
…นอกจากนี้ น้ำมันหอมระเหยกุหลาบ ยังช่วยคลายเครียด ลดการอักเสบ ฆ่าเชื้อโรค เชื้อแบคทีเรีย ไวรัส คลายกล้ามเนื้อเรียบ เพิ่มความรู้สึกทางเพศ ช่วยรักษาแผล ทำให้แผลหายเร็ว บำรุงตับ ช่วยระบาย ขับระดู ทำให้นอนหลับ ระงับประสาท บำรุงร่างกาย
..ซึ่งสามารถแบ่งเป็นสรรพคุณต่อระบบต่าง ๆ ของรางกาย ดังนี้..
🌟ระบบประสาทและอารมณ์ ช่วยให้สงบ ระงับประสาท ทำให้นอนหลับ ลดอาการใจสั่น กระวนกระวายใจ ลดความเครียด วิตกกังวล ลดความโศกเศร้า ลดความกลัว สร้างความรู้สึกเป็นมิตร ทำให้รู้สึกเป็นสุข เนื่องจากในทางสุคนธบำบัดเชื่อว่า น้ำมันกุหลาบเป็นน้ำมันที่มีประสิทธิภาพดีที่สุดในการบำบัดทั้งร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ
…ในทางอโรมาเธอราพี การสูดดมน้ำมันหอมระเหยจากกุหลาบช่วยแก้อาการวิตกกังวล เหนื่อยล้าอ่อนแรง ขจัดความคิดในทางลบ ทำให้อารมณ์ดี นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยพบว่า กลิ่นหอมของกุหลาบช่วยให้สมองจดจำได้ดีขึ้นขณะนอนหลับ และทำให้การไหลเวียนเลือดดี
🌟ระบบสืบพันธุ์ ช่วยรักษาอาการติดเชื้อของระบบสืบพันธุ์ บำรุงมดลูก ลดอาการปวดประจำเดือน แก้ปวดท้อง ปรับสมดุลฮอร์โมน ใช้ได้ดีกับผู้ที่มีประจำเดือนมามากกว่าปกติ
🌟การบำรุงผิวพรรณ มีสรรพคุณให้ความชุ่มชื้น ทำให้ผิวนุ่ม ช่วยฝาดสมาน ฆ่าเชื้อโรคสามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว โดยเฉพาะผิวแห้ง ผิวผู้สูงอายุ ลดการอักเสบ เสริมสร้างความแข็งแรงให้กับหลอดเลือดฝอย ใช้กับผู้ที่มีปัญหาหลอดเลือดฝอยเปราะ แตกง่าย
⭐️⭐️จากการศึกษาข้อมูลด้านความปลอดภัยโดยทั่วไป ไม่พบข้อมูลความเป็นพิษและการระคายเคือง
Cr.ภาพจาก kapook.com
#กุหลาบ #วาเลนไทน์ #ดอกไม้แห่งความรัก #สรรพคุณที่มากกว่าความสวย #สมุนไพรคลายเครียด #อโรมาเธอราพี #สมุนไพรอภัยภูเบศร