ประวัติผู้แต่งโคลงทวาทศมาส
ผู้แต่งโคลงทวาทศมาส คือ พระเยาราช กษัตริย์ในสมัยอยุธยาพระองค์หนึ่ง ซึ่งไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นพระองค์ใด มีข้าราชการชั้นขุนสามคนเป็นผู้ช่วยเกลาแก้ ตามที่บ่งบอกไว้ในโคลงตอนท้ายๆของเรื่องดังนี้
การกลอนนี้ตั้งอาทิ์ กวี หนึ่งนา
เยาวราชสามนต์ไตร แผ่นหล้า
ขุนพรหมมนตรีศรี กวีราช
สารประเสริฐฤาช้า ช่วยแกล้งเกลากลอน
ประวัติหนังสือโคลงทวาทศมาส
โคลงทวาทศมาส เป็นนิราศที่แปลกกว่านิราศเรื่องอื่นๆ เพราะกวีผุ้แต่งได้ยกวิถีชีวิตของคนไทยในรอบหนึ่งปีขึ้นมากล่าวนำการพรรณนาด้วยโวหารรัก การแต่งวิธีนี้นับว่าเป็นสิ่งใหม่ในวรรณคดีไทย ซึ่งเรียกต่อมาภายหลังว่านิราศ ฉันทลักษณ์ที่ใช้ในกวีนิพนธ์เรื่องทวาทศมาสคือ โคลงดั้น ดังนั้นจึงเรียกว่า โคลงทวาทศมาส
คำนำโคลงทวาทศมาส
โคลงทวาทศมาสถือเป็นวรรณกรรมที่ทรงคุณค่ายิ่งสำหรับชนชาวไทย นอกจากนี้ยังจัดได้ว่าโคลงทวาทศมาสเป็นแนวทางในการสร้างสรรวรรณกรรมในรูปแบบใหม่นั่นก็คือการสร้างผลงานประเภทนิราศคำโคลงนั่นเอง นอกจากนี้คุณค่าของโคลงทวาทศมาสยังโดดเด่นในแง่ของประวัติศาสตร์และสังคมศาสตร์เนื่องจากเนื้อหาทั้งหมดได้บอกเล่าให้เห็นถึงวิถีชีวิตตลอดจนความเป็นอยู่และสภาพภูมิประเทศ สภาพภูมิอากาศของประเทศไทยในสมัยนั้นๆ ดังนั้นเยาวชนไทยควรได้มีการศึกษาถึงรายละเอียดของโคลงบทนี้อย่างละเอียดสืบไป
หน้าหนึ่ง
ศรีสวัสดิ์กมลาสลำ้ เลอสรวง
พูลภิรมย์นาภี ส่องสร้อย
ไตรรัตนจุฑาดวง กมลาส
บานเบิกบงกชช้อย ช่อมาลย์ ฯ
จักรีจักรกฤษณเกล้า จักรพรรดิ
เสวยภิรมย์สงสาร เษกสร้อง
กามาฤดีรัตน์ รมเยศ
รมยวิธีธารคล้อง ห่องกาม ฯ
เทวาเทเวศถ้วน เทวินทร์
เสวยสุขรมย์ยำ่ยาม ยั่วเย้า
วิไลยวิลาพินท์ เพาโพธ
สุขภิรมย์สมเหน้า แน่งมาลย์ ฯ
หน้าสอง
จักรพาฬภูวนาถเกล้า กรุงกษัตร
ผายผ่านภุดาธาร แผ่นแผ้ว
ภูวไนยวนานัตว์ กมุทมาศ
โอนมกุฎิเกล้าแก้ว เกือบเศียร ฯ
รังสฤษฎิรังเรขไท้ ทรงทศ
ธรรมวิมลพึงเพียร แผ่นหล้า
เสวยสวรรค์สุโสฬศ เลืองโลก
บลบำบวงสรวงหม้า ใหม่ศรี ฯ
ดวงเดียวยุพโยคพ้น พรรณนา
สงวนมิ่งมาลย์จาวจี แกล่กลำ้
อาลิงค์บังอรสา รสเรข
ฤาห่อนเอองค์กำ้ กึ่งยาม ฯ
หน้าสาม
เรียมรักรัตนน้อง นางเดียว
เบญจฤดีดัษกาม เกศกลั้ว
สงวนศรีสุมาลย์เกลียว กลมสวาท
เยียวรำเพยพานตั้ว ด่วนหมอง ฯ
สงวนสร้อยเสาวภาคย์เนื้อ นวลนาง
ฤาห่อนาสาสอง ห่างหั้น
ในทิพย์บรรจฐรณ์กลาง ชนม์ชีพ
ฤาห่างองค์แก้วกั้น กึ่งกร ฯ
บไกลอกอาสน์อ้า อกองค์ หนึ่งเลย
ฤาด่วนมาจำจร จากข้าง
คิดถึงศรีสมบูรณ์บง กชมาศ กูเอย
รสภิรมย์แรมร้าง เร่งตรอม ฯ
หน้าสี่
เรียนคิดสังวาสรู้ รสรมย์
ดวงเสียดดวงเดียวจอม จอดเจ้า
คิดปางพิโดรฉม พักเตรศ
ฤาห่อนเอองค์เคล้า คลาศยาม ฯ
เรียมคิดพิเศษช้อย ชิวหา
รนฤดีดัษกาม ก่อเกื้อ
ถวิลทิพย์สุนาสา เสาวณิศ
เนื้อแนบนวลนุชเนื้อ แนบใน ฯ
คิดเคยประพาสเพี้ยง ภุชเคนทร์
กรกระหวัดดวงได กอดเกี้ยว
วิไลยวิลาเรนทร์ รสราค
ดึกดำฤษณ์เลื้อยเลี้ยว กอดไกร ฯ
หน้าห้า
คิดคลึงบัวมาศสร้อย สระศรี
ผลิดอกบุษบาใน แบ่งไว้
คิดชมมิ่งมาลี ไลยเลศ
แบะผกาเกลียวได้ ตำ่เมรุ ฯ
คิดเคยเยาวราชท้าว พาลสอง โสดแฮ
แนบกำโบลปรางเปรม เปรียบแก้ม
คิดสินธุภุชงค์ฉลอง บัวมาศ
ตฤบเตรียมรสยำ้แย้ม ย่องกาม ฯ
คิดสร้อยสาโรชแก้ว บัวบง
บัดแบ่งใบยำ่ยาม กลีบแกล้ง
ภู่พรรณตฤบรสสรง สระมาศ
สรงสุคนธ์ธารแสร้ง สอดสม ฯ
หน้าหก
มาไลยโมลิศเนื้อ นวลลักษณ์
นิลภมรเชยชม บ่ม้วย
วาทาประภาพักตร์ พรายแพร่ง
เรียมผทมทิพยด้วย ห่อนเอ ฯ
วันกรกมลาสเกี้ยว กรรดึก
สองชิดชงฆ์โหเห ห่มนำ้
วันเรียมร่วมถนำทึก นพนิต
สุขบันทมารสกลำ้ แกล่กาม ฯ
แม้สรงสระเทพถ้า ไตรตรึงส์ ก็ดี
ยังไป่ปูนยำ่ยาม สระแก้ว
สระสวรรค์อำมฤตย์รึง รสเรข
สรงสระนงค์นุชแผ้ว แผ่นไตร ฯ
หน้าเจ็ด
พักตราไตรเตรียมสร้อย เสาวคนธ์
พรายนิลารัตนใน ภู่แพร้ว
ภมูพิมลกล กามก่ง
ทรวงบังอรฐานแก้ว ยิ่งยง ฯ
โอะโอ้นัยนิศน้อง นางนงค์ แน่งเอย
จรเจตจิตต์เรียมจง จอดเจ้า
สระบาสมบูรณ์บง กชมาศ กูเอย
ฤานิรารสเหน้า หน่อศรี ฯ
ปางบุตรนคเรศไท้ ทศรถ
จากสิดาเดียวลี ลาสแล้ว
ยังคืนสู่เสาวคต ยุพราช
ฤาอนุชน้องแคล้ว คลาศไกล ฯ
หน้าแปด
ศรีอนิรุทธราสร้าง แรมสมร
ศรีอุสาเจียรไคล คลาศแคล้ว
เทวานราจร จำจาก
ยังพรำ่น้าวน้องแก้ว คอบคืน ฯ
สมุทรโฆษเริศร้าง แรมพิน
ทุมดีดาลผืน ใฝ่เต้า
ปางเจ็บชำงือถวิล ลิวโลด
ยังพรำ่น้าวน้องเหน้า ร่วมเรียง ฯ
พระศรีเสาวเลขสร้อย สุธน
จากมโนห์ราเคียง คิดน้อง
ยังเสด็จไพรสณฑ์ สังวาส
สังเวชนงค์นุชคล้อง เคลือกองค์ ฯ
หน้าเก้า
ปราจิตต์เจียรเหน้าหน่อ อรพินท์
พระพิราไลยปลง ชีพแล้ว
คืนสมสุดาจิน รสร่วม กันนา
กรรมแล่งกรรมแก้วแก้ว ช่วยกรรม ฯ
ปางสินบรเมศร์ท้าว สุธนู
จากสมเด็จนุชจันทร์ แจ่มหน้า
เจียรรับประภาตรู เตราสวาท
ยังพรำ่น้าวน้องเข้า คอบสมร ฯ
ฤาเออกอาสน์เนื้อ นงค์นุช
เจ็บจำงายทรวงธร หล่มล้ม
โอ้แก้วสุมาลย์บุษย์ วลีภาคย์ กูเอย
เอาสุพรรณแก้วก้ม กำ่ทรวง ฯ
หน้าสิบ
รดูเดือนเจตรร้อน ทรวงธร
ทุกยำ่ยามโดรดวง ด่วนน้อง
จำรจำเราอร อรนิต หายแม่
อินทรพรหมยมป้อง ไป่คืน ฯ
สุริยงควรเวกฟ้า เพ็ดโพยม
แสงรพีพรรณผืน ฟอดฟ้า
จรจรัสเสียดแดโสม สรวมชีพ
เจ็บไปปานเจียรจ้า จากจร ฯ
สุดโพยมเวหาสห้อง หาวหน
สุรสุเรนทราธร เอื้อยฟ้า
ปรัถพีนิราชล เห็นหาด
ร้อนไป่ปานเรียมถ้า จากเจียร ฯ
หน้าสิบเอ็ด
เจ็ดสินธุ์สาดเรศร้อน รนบก
แสนนทีธารเทียร หาดแห้ง
อาดูรกระอุอก เรียมราส
สมรจากเจียรร้อยแล้ง ไป่ปาน ฯ
ปรัถพีพิโยคพื้น ทรวงธร
ณีธราธารดาล บั่นด้วย
เจ็บเจียรจำจากจร สมรมิ่ง กูเอย
โอ้อกดินฟ้าม้วย ไป่วาย ฯ
ทินกรจรแจ้งแจ่ม หาวหน
ธารนทีชลหาย หาดแห้ง
อกเรียมนิราจล เจ็บจาก กันนา
ร้อยยิ่งทินกรแจ้ง จวบกัลป์ ฯ
หน้าสิบสอง
สหัสสุริเยศเรื้อง รังสี
ผลาญแผ่นไตรภพสรรพ์ เษกไหม้
กำเดากำดาลตรี ภพนาศ
ร้อนไป่ปานน้องไท้ จากจร ฯ
ไตรยุคทั้งสี่ร้อน รนอก
โลกประชารากร หล่อหล้ม
ร้อนเรียมราสพันพก แสนส่วน
ไตรกำเดาดาลต้ม แตกทรวง ฯ
ธรณีธรณิศแล้ง เลอหาว แห้งแล
ใบบัดพฤกษาดวง เหี่ยวแห้ง
ลดากระหวัดราว รุกขมาศ
วัลย์เวี่ยไม้ไหล้แล้ง ช่วยตรอม ฯ
หน้าสิบสาม
เวหาผผ่าวเพี้ยง พรรณแสง
เรียมรันจวญใจจอม จิ่มหล้า
อาดูรคระแลงแสดง แสนโศก
แสนสุเมรุไหม้ฟ้า ไป่ปาน ฯ
ทุกพรรณมฤคห้อง บรรพต
เสียสัมฤทธิอาหาร แหล่งเหล้น
นัยนามพุลาลด ศัลย์เสพย์
เสียภิรมย์แหล่งเต้น ช่วยครวญ ฯ
แสนพฤกษ์เหลืองหล่นล้วน แลงใบ
บังสุมาลย์แมนมวล แมกไม้
พฤกษาศิขรไซร โซรมชีพ
โอ้หาสกาลกลไหม้ ช่วยเรียม ฯ
หน้าสิบสี่
ปกษีเสาวเลขล้วน ฤาศัพท์
สวนบ่ฤาเลยเกรียม กำ่ก้าง
โอ้แก้วนิราลับ ลิวลี่ แล้วเอย
แสนพิหคให้ช้าง ช่วยขึง ฯ
แสนบางบึงห้วยแห่ง เหมุทก
พาสุกรีไตรตรึงส์ บั่นหว้าย
มังกรกรารก รักเรข
ตีสกนธ์แล้วผ้าย ผาดจร ฯ
แสนสัตว์นาเนกถ้วน แสนสินธุ์
ทุกข์บันดาลไฟฟอน ช่วยเศร้า
วันเจียรสุดาพินท์ พักเตรศ
แสนสุเมรุม้วนเข้า ดั่งลาญ ฯ
หน้าสิบห้า
โอ้รัตนนารีศเนื้อ นวลลักษณ์
จากภิรมย์เดียวดาล แผ่นขวำ้
ตรีในสุรารักษ์ หริราช
ช่วยรันทดร้อยกำ้ กำ่แด ฯ
รดูจรเจตรแจ้ง เจียรจรัส
แสนสุธาปรวนแปร แผ่นหล้า
รดูฤดีดัษ ดาลเทวษ
เทวินทรสุรินทร์รักษ์เหม้า ใหม่หมอง ฯ
รำ่รักรสเรขสิ้น สรรพางค์
สุรสุเรนทราธร เพื่อยฟ้า
ปรัถพีนิราชล เห็นหาด
ร้อนไป่ปานเรียมถ้า จากเจียร ฯ
หน้าสิบหก
หลัดหลัดมาจากข้าง เขินเข็ญ ใหญ่แล
ทุรัศทุราดวง แหบไห้
โอ้แก้วดรุณเพ็ญ ภุชภาคย์
มานิรารมย์ไว้ ว่องกาม ฯ
โหยแหนกระอุโอ้ เศียรเส โสดแล
หลัดหลัดนัยนายาม คลุ่มคลุ้ม
มลักเห็นนิ่มนวลเน นัยเนตร
กามกระหายโหยกลุ้ม เกลื่อนแด ฯ
คิดนัยนาเทพหว้าย เวหา
คือศศิสุริยแข แข่งแย้ม
คือองค์อนงคชา เอาวเยศ กูนา
เหมือนเมื่อตฤบรสแก้ม กลิ่นเกลา ฯ
หน้าสิบเจ็ด
เดือนถึงถถั่นนำ้ ตาตก
สายพรุณโชรมเชรา ลั้นฟ้า
ปรานีแนบกับอก โอยแม่ กูเอย
เดือนสุดแล้วนุชหน้า แม่ผ้ายลองใด ฯ
รดูไพศาขสร้อง ฝนสวรรค์
คิดสุมาลย์มาไลย แหล่งน้อง
รดูฤดีครรภ์ รมเยศ
เจ็บกระอุแทบท้อง ที่ขวั้นสดือนาง ฯ
คระหนฟ้าร้องคระ โหยหา สวาทนา
ดลด่วนเจ็บแดกลาง ขาดขวำ้
แขไขข่าวไถนา ถถั่น มานา
อกระแห้งแล้งนำ้ เนตรนอง ฯ
หน้าสิบแปด
แต่เรียมนิราสแก้ว ไกลนาน
ฟ้าเรื่องครรชิตหมอง หม่นเศร้า
รำเพยรำพาธาร ไหลหลั่ง
สวรรค์อนันตร้อนเร้า ช่วยตรอม ฯ
นิรานิราสร้าง แรมสมร
สุริยศศิดายดอม อยู่ได้
วเนวนาดร ในโลก นี้นา
จำนิรารสให้ ห่างแด ฯ
โหยเห็นเดือนแย้มยั่ว ยงสมร
ไฉนว่าจันทร์เจียรแถลง หน่อเหน้า
เจ็บเจียรจำงายวร วนิภาคย้
หวั่งกามยงเย้า ยั่วยรร ฯ
หน้าสิบเก้า
ธาตรีตรีโลกแล้ง แลจบ
จรหล่มลิดลิวกรร กำ่กาง
นิทรานิราภพ รมเยศ
ครหอบหิวให้ช้าง ชางือ ฯ
เดือนหกเรียมรำ่ไห้ ฤาวาย
ยามย่อมชนบทถือ ท่องหล้า
ธงธวัชโบกโบยปลาย งอนง่า
คิดว่ากรกวักข้า แล่นตาม ฯ
ทันธงบ่ใช่น้อง เรียมทรุด
หิวกระหนรนกาม พรั่นกว้า
ธวัชงอนโบกโบยสุด ลิวลี่
กรใช่กรหน้าหน้า ใช่น้องนาไถ ฯ
หน้ายี่สิบ
รดูเดือนเชษฐฟ้า ครรชิต
สายพรุณรองไร เรื่อยฟ้า
ไพศาขรำ่แรมนิทร์ นงโพธ เดียวแม่
แรมรำ่แรมโรยหน้า เร่งโรยแรมโรย ฯ
วรรณาโมลิศแล้ง แดงเดียว
อกกระอุเกรียมโกรย กระด้าง
อัมพรอุทรเขียว ครางครำ่
พื้นฟ้าโหยให้ช้าง เชี่ยวสินธุ์ ฯ
อักนิฐเลื่องโลกลำ้ โสฬศ
บัณฑุกัมพลอินทร์ อาสน์แก้ว
เมรุทองรรองทศ ศาภาคย์
ฤาอาจทรงทุกข์แผ้ว ที่ตรอม ฯ
หน้ายี่สิบเอ็ด
รดูเดือนเมฆนำ้ นองหาว
ขุกข่มเขียวไพรดอม ยอดย้อม
ไฟกามรลุงจาว ทองเทศ
เห็นลบัดเลี้ยวอ้อม อาตม์เรียม ฯ
อัญชันชรอุ่นแต้ม ตาไพร
เพราเพริดนัยนุชเทียม แต่งแต้ม
บัวกามจำรัสไร รัตนเรข
ชมช่อไม้เหมือนแก้ม โกศเกลา ฯ
พระพรุณรายเรื่อยฟ้า เพ็ดโพยม
อกราษฎร์ชนบทเทา ทั่วหล้า
เริ่มการสำเร็จโถม ไถแล่น
เจียรอนุชน้องถ้า ไป่ยล ฯ
หน้ายี่สิบสอง
แถลงวัลยอาจเกี้ยว กรองบัด
ลมบั่นหนาวเหินบน แบ่งไส้
เล็บนางแน่งเนาวรัตน์ โชรช่อ
แลแล่งเล็บแก้วไล้ ลวดทอง ฯ
ฟ้าดินเลียมลอบกลำ้ กลืนนุช แดฤา
ซงซ่อนไกลใจปอง ขาดขวำ้
แดนใดลอบเลงบุษย์ บัวมาศ
เรียมบำ่บวงบนกำ้ กำ่สมร ฯ
รำ่รักแรมราสแก้ว เจียรจินต์
กรมโกรธเททวารถอน ถอดไส้
ลุกแลรลุงถวิล หาอ่อน อวนเอย
เยียวข่าวขวัญน้องไข้ พี่ถ้าถามขวัญ ฯ
ฉบับถอดความ
โคลงทวาทศมาส
1. ข้าขอไหว้เทพเจ้าผู้นั่งบนดอกบัว ผู้สง่างาม ผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ ผู้มีความสุขยิ่งขณะอยู่ในพระนาภีที่เรืองรอง (ของพระวิษณุ) ซึ่งเบิกบานดังดอกบัวใหญ่ยิ่งที่บานงดงาม
2. ข้าขอไหว้พระนารายณ์หรือพระกฤษณะ ผู้ถือจักร ผู้เป็นยอดของจักรพรรดิ ผู้ลงมาเกิดในโลกมนุษย์ เป็นที่สรรเสริญไปทั่ว ผู้เพลิดเพลินในความรักที่เปรียบดังดวงแก้ว ผู้สนุกกับวิธีผูกรัก
3. ข้าขอไหว้เทพเจ้าผู้เป็นใหญ่เหนือเทวดาทั้งปวง ผู้มีความสุขตลอดเวลากับการหยอกเย้านาง ผู้มีดวงตาที่สามอันงาม ผู้มีความสุขในการอยู่ร่วมกับนางผู้มีร่างแบบบาง
4. ข้าขอไหว้พระเจ้าแผ่นดินผู้เป็นพระจักรพรรดิ ผู้ครองแผ่นดินให้พ้นภัยทั้งปวง หมู่กษัตริย์พากันมาถวายดอกบัวทองและน้อมเศียรที่สวมมงกุฎถวายบังคมพระองค์
5. ทรงสร้างสมและอิ่มเอมในทศพิธราชธรรมที่บริสุทธิ์ ที่ควรแก่การบำเพ็ญในโลกที่ทำให้ได้เกิดในสวรรค์ชั้นโสฬสพรหมที่ลือเลื่อง ขอบูชาพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่ ผู้งาม ผู้เจริญ
6. นางผู้เดียว ผู้อ่อนเยาว์สุดพรรณนา พี่ถนอมนางผู้เหมือนดอกไม้ตูมจนเกือบกลืนไว้ที่กอดไว้ดุจดอกบัวงามของนางงามไม่เคยให้นางอยู่คนเดียวแม้ชั่วครึ่งยาม
7. พี่รักน้องแก้วแต่ผู้เดียวผู้ซึ่งพรั่งพร้อมด้วยสิ่งที่น่ารักยินดี 5 ประการ ชวนให้เกิดความปรารถนา พี่ถนอมนางเพราะรักมาก เกรมลมพัดถูกน้องแล้วจะทำให้ตัวน้องหมองหม่นไป
8. พี่แสนรักและหวงแหนนางงามผู้มีเนื้อนวล จมูกของเราไม่เคยห่างกันเลย ชมชื่นอยู่ ณ ที่นอนทิพย์ไม่เคยห่างน้องแม้เพียงครึ่งท่อนแขน
9. อกประทับแนบชิดกันเป็นอันเดียว ไฉนจึงต้องจากนางไปกะทันหัน คิดถึงนางผู้ทรงศรีสง่า ดุจดังดอกบัวทอง เมื่อต้องร้างรสรักอันรื่นรมย์ จึงตรอมใจนัก
10. คิดถึงรสรักที่อยู่ร่วมกัน ใจพี่จดจ่ออยู่กับนางผู้เดียว คิดถึงดวงหน้าที่หอมกรุ่นของน้อง พี่คลึงเคล้านางไม่เคยคลาดแม้เพียงยามเดียว
11. เมื่อคิดถึงลิ้นที่งอนงามของนาง ความรู้สึกรักเร้าให้เกิดความใคร่ขึ้น ระลึกถึงนางผู้มีกลิ่นหอมและพูดเพราะ ยามเนื้อพี่แนบเนื้อนางและเนื้อนางก็แนบเนื้อพี่
12. คิดถึงครั้งที่เที่ยวเล่นเหมือนเป็นพญานาค แขนของเรากอนกระหวัดกัน รสรักงดงามและหนักหน่วง ยิ่งเกิดความเสน่หามากก็ยิ่งกอดแน่นขึ้น
13. คิดถึงยามคลึงเคล้าบัวงามในสระงาม แล้วชมบัวบานที่ซ่อนไว้ คิดถึงยามชมดอกไม้งามเลิศ ยามแหวกกลีบดอกไม้ตูมใต้ภูเขา
14. คิดถึงเยาวกษัตริย์สองพระองค์ แนบแก้มกันและกัน คิดภาพสระที่พญานาคลงเล่นดอกบัวงาม อิ่มเอิบในรสรักยิ่ง
15. คิดถึงดอกบัวแก้วของนางที่ค่อยเผยแย้มขยายกลีบเบ่งบาน มวลแมลงภู่ลงลิ้มรสและอาบในสระทองสอดแทรกคลึงเคล้าเกษรอันหอมหวล
16. คิดถึงมาลัยบนมวยผมและเนื้อนวลของนาง ชวนให้ผึ้งดอมดมตลอดเวลา คำพูดที่แย้มพรายออกมาและใบหน้าอันผ่องใส พี่นอนร่วมกับนางเสมอไม่เคยนอนคนเดียวเลย
17. คิดถึงวันเดือนสิบสองเมื่อเรากอดกระหวัด ขณะเล่นน้ำเข่าของเราสองชิดกัน คิดถึงวันที่เราอยู่ร่วมกันยามนอนมีความสุขในรสรัก
18. แม้ได้อาบน้ำที่ท่าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ก็ดี ยังไม่เทียบกับลงเล่นน้ำในสระนาง สระบนสวรรค์มีน้ำอำมฤตเลิศรส แต่การอาบน้ำในสระนางดีที่สุดในสามโลก
19. ใบหน้านางเปรียบดังดอกไม้หอม ดวงตาดำเป็นประกายดุจดังนิล คิ้วก่งงามเหมือนศรกามเทพ ทรงนางนั้นสวยงามมาก
20. โอ้แก้วตาคนงามเอย แม้ยามจากไปแต่ใจของพี่ยังอยู่กับนาง นางผู้งามดังดอกบัวทองเอย ควรหรือที่พี่ต้องร้างรสรักของน้องไป
21. ครั้งพระรามองค์โอรสท้าวทศรถ พลัดพลากจากนางสีดา ยังได้นางกลับคืนมาสู่พระยุพราชผู้ไปตามควรหรือที่น้องจะจากพี่ไปไกล
22. ครั้งพระอนิรุทธพลัดพรากจางนางอุษา เพราะเทวดาจำต้องพาพระอนิรุทธกลับไป ยังพยายามสืบหาเพื่อให้ได้กลับมาครองกัน
23. ครั้งพระสมุทรโฆษพลัดพรากจากนางพินทุมดี ก็ยังฝืนติดตามนาง ทั้งๆที่ร่างกายบาดเจ็บ แต่หัวใจก็ยังโลดแล่นไปหานาง พยายามให้ได้นางกลับคืนมาครองกัน
24. ครั้งพระสุธนผู้มีรูปงามดังภาพวาด ต้องพลัดพรากจากนางมโนห์รา จึงติดตามนางไปในป่าด้วยความคิดถึงอันแรงกล้า คิดสงสารนางที่ดิ้นรนเมื่อถูกบ่วงคล้อง
25. ครั้งพระปราจิตต์พรากจากนางอรพินท์ผู้ทรงโฉม พระติดตามนางจนตัวตาย กรรมทำให้พรากจากกันแต่กรรมของนางช่วยให้ฟื้นคืนชีพมาอยู่ร่วมกัน
26. ครั้งพระสุธนูจอมกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ จากนางผู้มีดวงพักตร์งามดังดวงจันทร์ คือนางเจียรับประภาผู้เลอโฉม ยังคร่ำครวญถึงจนได้นางคืนมาเป็นคู่ครอง
27. หรือพี่จะต้องอ้างว้างร้างแท่นที่เคยมีนาง เจ็บเพราะจากนางดังใจจะแหลกสลาย โอ้น้องแก้วผู้งามเหมือนดอกบัวเป็นผู้ทำให้พี่มีโชคดี คิดถึงแต่นางจนตรอมตรมใจ
28. ถึงเดือนห้าที่มีแต่ความรุ่มร้อนในทรวงอก พี่คิดนางทุกเวลา แม้นางจะจากไปแต่พี่ก็ยังระลึกถึงนางไม่วาย หรือพระอินทร์ พระพรหม พระยม ซ่อนนางไว้ไม่คืนมาให้
29. พระอาทิตย์เคลื่อนไปในท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว แสงพระอาทิตย์ร้อนราวกับจะไหม้ฟ้า ส่องแสงจัดจ้าขณะเคลื่อนไป เสียดแทงดวงใจยิ่งนัก แต่ก็ยังไม่เจ็บเท่าที่พี่ต้องจากนางไป
30. ในฟากฟ้าอันกว้างไกล ดวงอาทิตย์เลื่อนไปไม่หยุดยั้ง ผืนดินแห้งปราศจากน้ำเห็นแต่หาด ยังร้อนไม่เท่าที่พี่รอนางที่จากไปนาน
31. แม้น้ำทั้งเจ็ดร้อนขึ้นมาจนถึงบนบก ท้องน้ำทุกแห่งหนแห้งจนเห็นหาด อกพี่ร้อนระอุเพราะความอาดูรที่จากนาง ความร้อนแล้งร้อยเท่านี้ไม่เทียบเท่าความทุกข์ร้อนที่ต้องจากนาง
32. อกแผ่นดินเศร้าสลด ท้องน้ำที่รองรับแผ่นดินอยู่ก็ปั่นป่วน เจ็บปวดยิ่งนัก เมื่อจำต้องจากนางผู้เป็นที่รักไปไกล โอ้แม้อกดินฟ้าดับสลาย พี่ก็ยังไม่หายเจ็บปวด
33. ดวงอาทิตย์ลอยแจ่มจ้าอยู่กลางฟ้า แม่น้ำลำธารแห้งจนเห็นหาด อกพี่เจ็บปวดหวั่นไหวที่ต้องจากนางร้อนยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ส่องแสงจ้าในเวลาจะสุดสิ้นกัลป์
34. แม้ดวงอาทิตย์พันดงส่องแสงสว่างจ้า เผาผลาญโลกทั้งสามจนมอดไหม้ ความร้อนที่ทำให้โลกทั้งสามพินาศลง ยังไม่ร้อนเท่าที่นางจากพี่ไป
35. แม้ยุคอันใหญ่ยิ่งทั้งสี่ของโลกจะร้อนแรง จนหมู่มนุษย์และสัตว์ในโลกล้มตายลง ความร้อนของพี่ที่จากนางมีมากกว่าแสนเท่า ความร้อนแรงนั้นเผาใจพี่จนแตกสลาย
36. แผ่นดินที่กว้างใหญ่ก็แล้งและฟ้าเหือดแห้ง ดอกใบของต้นไม้แห้งเหี่ยว ไม้เลื้อยเกี่ยวกระหวัดต้นไม้ใหญ่ เหี่ยวเฉายิ่งทำให้พี่นี้ตรอมใจ
37. ท้องฟ้าร้อนผ่าวเหมือนดวงอาทิตย์ พี่คิดถึงนางผู้เป็นจอมใจ พี่เดือนร้อนและเศร้าโศกมาก แม้เขาพระสุเมรุแสนลูกไหม้จนถึงฟ้าก็ยังไม่เทียบเท่า
38. เหล่าเนื้อนานาพันธุ์ตามหุบเขา สูญเสียที่กินที่เล่นแสนสมบูรณ์ น้ำตาไหลหลั่งด้วยความเศร้าที่ขาดแหล่งอันรื่นรมย์ ทำให้ความทุกข์ของพี่ทวีขึ้น
39. ต้นไม้ใบเหลืองร่วงหล่นจนหมดต้น ดอกและกิ่งก้านของต้นไม้บนภูเขา ก็แห้งตายหมด โอ้เวลาที่เป็นสุขน่ารื่นรมย์ได้ไหม้ลง เพิ่มพูนความทุกข์ของพี่
40. นกสีสวยร้องเสียงดัง แต่พี่ตรมใจจนไม่ได้ยิน โอ้น้องแก้วจากไปไกลแล้ว นกยิ่งร้องระงมพี่ก็ยิ่งเจ็บปวดมากขึ้น
41. น้ำในบางบึงและห้วยนับแสนเย็นเยือก พญานาค ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ต่างว่ายไปมา มังกรในสระรถการกอังงดงาม ฟาดตัวแล้วเลื้อยหนีไป
42. สัตว์น้ำนานาพันธุ์ทุกแห่งหน พลอยเป็นทุกข์เดือนร้อนกับพี่ดังไฟเผา วันที่พี่จากนางผู้มีดวงหน้างามดังดอกบัว เขาพระสุเมรุดังจะม้วนทลายลง
43. โอ้นางแก้วผู้มีเนื้อนวลงาม พี่จากนางมาเดียวดายรู้สึกเสมือนแผ่นดินคว่ำ ขอพระเป็นจ้าผู้ปกป้องผู้เป็นใหญ่ทั้งสาม โปรดช่วยในยามรันทดตรมตรอมนี้ด้วย
44. ถึงเดือนห้าฟ้าแจ้งแจ่มจ้ายาวนาน ผืนแผ่นดินทั้งหลายในโลกแปรปรวน เป็นยามี่ความรักเร่งเร้าใจ แม้พระอินทร์จมเทพยังหม่นหมองอีก
45. รำพันถึงรสรักจากกาย ความรักเผาไม้ตลอดเวลา โอ้นางแก้วผู้งามเลิศในหมู่สาวสวยของพี่ พี่อยากได้นางมาแนบอก
46. ทุกข์ใจยิ่งนักที่ต้องจากนางมาทั้งที่เพิ่งเห็นกัน พี่ร้องไห้จนเสียงแหบเมื่อไกลเจ้า โอ้สาวแสนสวยผู้มีแขนงาม พรากจากน้องความรักความใคร่ยิ่งทวีขึ้น
47. พี่โหยหานาง เร่าร้อนใจจนศีรษะซวนซบอยู่ลำพัง ตาพี่เสมือนเห็นนางอยู่ลางเลือน แล้วค่อยๆชัดเจนขึ้น พี่กระหายโหยหาและกลัดกลุ้มด้วยความรักท่วมท้นใจ
48. พี่คิดว่าดวงตาของเทวดาในท้องฟ้า คือพระจันทร์และพระอาทิตย์ที่ฉายแสง ที่แท้เป็นนางผู้อ่อนเยาว์ของพี่ คิดถึงกลิ่นแก้มหอมของนาง
49. ตลอดเดือนพี่หลั่งน้ำตา เหมือนสายฝนพร่างพรมมืดมัวฟ้า โปรดปรานีมาแนบอกพี่เถิด เดือนผ่านพ้นแล้วน้องอยู่แห่งหนใด
50. ถึงเดือนหกฝนตกจากฟากฟ้า พี่คิดถึงดอกไม้ของนาง คิดถึงยามรักอันรื่นรมย์ เจ็บระบมใกล้ท้องที่แนบนาง
51. เสียงฟ้าร้องเหมือนเสียงพี่โหยหารัก เจ็บกลางใจดังจะขาดคว่ำ ดวงเดือนบอกข่าวฤดูไถนากำลังจะเริ่มแล้ว อกพี่แห้งแตกระแหงแต่น้ำตานอง
52. นับแต่พี่จากไกลนางมานาน ฟ้าที่เคยคะนองก็หมองเศร้า ลมกระพือพัดสายน้ำไหลหลั่ง แม้สวรรค์ทุกแห่งก็พลอยเร่าร้อนตรอมใจ
53. พี่พลัดพรากแรมร้างจากนาง ตะวันเดือนยังดูดายอยู่ได้ พี่พเนจรไปในป่าทั่วโลก จำใจจากรสรักไปไกล
54. เห็นเดือนชวนให้พี่คิดถึงนาง ทำไมหนอดวงจันทร์จึงเหมือนดวงหน้านาง พี่ยังเจ็บที่จากนางมาไกลความรักพลุ่งขึ้นยั่วให้เกิดความใคร่
55. แผ่นดินทั้งสามโลกแห้งแล้งแลเห็นไปทั่ว ดังจะถล่มทลายขวางกั้นไว้ ยามนอนพี่ก็นอนไม่เป็นสุข คร่ำครวญโหยหาด้วยความทุกข์
56. เดือนหกพี่ยังร่ำไห้ไม่สร่าง เป็นฤดูกาลที่ชาวชนบทถือหางไถไถดิน ธงที่ปลายงอนคันไถปลิวสะบัด พี่คิดว่ามือนางกวักเรียก พี่จึงเร่งตามไป
57. เมื่อไปถึงธงพบว่ามิใช่นางพี่จึงเซทรุด พี่กระวนกระวายหิวรัก หวาดหวั่นใจยิ่งขึ้น ธงที่งอนไถโบกโบยอยู่ไกลลิบ มิใช่มือนาง หน้ามิใช่หน้านาง น้องมิใช่คนไถนา
58. ถึงเดือนเจ็ดฟ้าร้องกึกก้อง สายฝนไหลหลั่งพรั่งพรมตลอดเวลา เดือนหกพี่ร่ำไห้เพราะต้องจากนางมานอนเดียวดาย พี่คร่ำครวญจนเดือนแรม ดวงหน้ายิ่งหม่นหมองร่วงโรย
59. พื้นแผ่นดินแห้งแล้งเป็นสีแดง เช่นเดียวกับอกพี่ที่ร้อนเกรียมระอุหลังหยาบกระด้าง ท้องฟ้าเขียวทะมึน ส่งเสียงครางครืน ฝนตกหนักเหมือนฟ้าร้องไห้
60. แม้อกนิษฐพรหมชั้นสูงสุดเหนือรูปพรหมสิบหกชั้น ทั้งแท่นแก้วบัณฑุกัมพลของพระอินทร์ และเขาพระสุเมรุทองที่รองรับทั้งสิบทิศ ก็มิอาจรองรับความทุกข์ให้หายตรอมได้
61. ถึงเดือนที่เมฆอุ้มน้ำทั่วฟ้า แนวป่าเขียวชอุ่มเหมือนยอดไม้ย้อมสี ไฟรักทำให้คิดถึงดอกไม้ทองเทศ ที่ผลิดอกโอบล้อมพี่
62. ดอกอัญชันงามเสมือนดวงตาแห่งพงไพร งามเพริศเหมือนตานางที่แต่งแต้มไว้ อกนางงามผุดผ่องดังวาด ชมช่อดอกไม้เหมือนชมแก้มงามเกลี้ยงเกลาของนาง
63. ฝนโปรยปรายไม่ขาดฟ้า ราษฎรชาวชนบทคลายทุกข์ใจทั่วแผ่นดิน เริ่มเร่งรีบไถนา ที่เฝ้ารอคอยน้องแสนนานแต่ไม่พบ
64. เห็นเถาวัลย์เกี่ยวกระหวัดกิ่งไม้ ลมเบื้องบนพัดปั่นป่วน ดอกเล็บนางชูช่องามเหมือนแก้วนพรัตน์ มองเหมือนเล็บนางที่ไล้ลวดทอง
65. ฟ้าดินลอบกล้ำกลืนนางยอดดวงใจของพี่ไว้หรือ ซ่อนนางไว้ไกลจนใจพี่จะขาดคว่ำ ลอบชมดอกบัวทองของพี่อยู่ที่ใด พี่ขอบนบานบวงสรวงอย่าก้ำเกินน้อง
66. พี่คร่ำครวญคิดถึงน้องยามจากไกล พี่ระทมทุกข์ เคืองแค้นเหมือนถูกควักไส้ พี่ลุกขึ้นมองหานางด้วยใจเป็นทุกข์ถวิลหา เผื่อจะได้ข่าวว่านางเจ็บไข้ พี่คอยถามข่าวนางอยู่
บรรณานุกรมโคลงทวาทศมาส
ประเทศไทย. ANTHOLOGY OF ASEAN LITERATURES. กรุงเทพฯ : อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) , ๒๕๓๙.
ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕. กรุงเทพฯ : อักษรเจริญทัศน์ , ๒๕๒๕.
ดัชนีคำศัพท์โคลงทวาทศมาส
กมลาศ
: พระพรหม
กรรดึก
: ดึกมาก
กรารก
: สระน้ำ , บึง
กระหวัด
: เกาะเกี่ยว
กระอุ
: ระบม
กฤษณ
: พระกฤษณะซึ่งเป็นอวตารปางที่แปดของพระนารายณ์
แขไข
: ดวงเดือน
ครรชิต
: ท้องฟ้า
ครหอบ
: คร่ำครวญ
คระแลง
: มากมาย
จรหล่ม
: เที่ยวไปนาน
จำจร
: จาก , พราก
จำรัส
: สุกใส , สวยงาม
ชิวหา
: ลิ้น
ดรุณ
: สาวงาม
ด่วนหมอง
: หม่นหมอง , โศกเศร้า
แด
: ดวงใจ
ไตรภพ
: โลกทั้ง ๓ คือ มนุษย์ สวรรค์ และบาดาล
ทินกร
: ดวงอาทิตย์
ทรวง
: อก , หัวใจ
เทวินทร์
: ผู้เป็นใหญ่เหนือเทวดาทั้งปวง คือพระอิศวร
ธรณี
: แผ่นดิน
ธวัช
: ธง
นงโพธ
: หญิงสาว
นวลนาง
: หญิงผู้มีโฉมงาม
นาสา
: จมูก
นิราลับ
: จากไปไกล
บงกช
: ดอกบัว
บรรพต
: หุบเขา
บุษย์
: ดอกบัว
ปักษี
: นก
ปรัถพี
: แผ่นดิน
ปราง
: แก้ม
ประพาส
: ท่องเที่ยว
ปลงชีพ
: ฆ่าตัวตาย
แผ่นขว้ำ
: พลิกแผ่นดิน
พักตรา
: ใบหน้า
ไพรสณฑ์
: ป่าเขา
เฟ็ดโพยม
: โปรยปราย
ภุดาธาร
: ภัย , อันตราย
ภมู
: คิ้ว
ภูวไนย
: หมู่แห่งกษัตริย์ทั้งหลาย
มาศ
: ทองคำ
โมลิศ
: มวยผม
ยงเย้า
: พลุ่งพล่าน
เยียว
: รอคอย
เรียม
: ตัวพี่
ลิวโลด
: โลดแล่น
แลงใบ
: แห้งแล้ง
ไลยเลศ
: สวยงาม
วนาดร
: ป่า
วาทา
: คำพูด
วิมล
: บริสุทธิ์
วิไลย
: สวยงาม
เวหา
: ท้องฟ้า
เวหาส
: ท้องฟ้า
ศิศ
: พระจันทร์
เศียร
: ศรีษะ
สรรพางค์
: ร่างกาย
สายพรุณ
: สายฝน
สารศ
: ดอกบัว
สินธุ์
: แม่น้ำ
สุมาลย์
: ดอกไม้
สุโสฬศ
: สวรรค์หรือดินแดนของพรหม
โสม
: โทรม
เสาวคนธ์
: ดอกไม้
สังวาส
: รสรัก
สังเวช
: สงสาร
ใหม่หมอง
: หม่นหมอง
อรนิต
: ความไม่สบายใจ
อาสน์
: แท่น , ที่นั่ง
อำมฤตย์
: น้ำทิพย์ที่ใครได้ดื่มแล้วจะไม่ตาย
อัมพร
: ท้องฟ้า
Facebook Comments