สูตรความสวยบนใบหน้า

สูตรความสวยบนใบหน้า

สูตรความสวยบนใบหน้า


ผิวสวย หน้าใส ด้วยมะพร้าว
ถ้าพูดถึงมะพร้าว สาวๆ จอมไดเอ็ทคงจะต้องร้องยี้ เพราะดันนึกไปถึงความมันๆ ของเจ้ากะทิกันแน่ๆ ใช่มั้ยคะ อ๊ะๆ แต่ขอบอกว่าอย่าเพิ่งเหมารวมไปซะหมด เพราะในมะพร้าวยังมีสิ่งดีๆ ที่มีประโยชน์สุดๆ ซ่อนอยู่ นั่นก็คือ น้ำมะพร้าวยังไงล่ะ เลยขอนำประโยชน์ของน้ำมะพร้าวมาฝากกันสักหน่อย เผื่อครั้งหน้าจะสั่งน้ำผลไม้มาดื่มชิลๆ จะได้ไม่มองข้ามเจ้าน้ำวิเศษนี้ไปไงล่ะ
+ อุดมไปด้วยแร่ธาตุหลายชนิด
     น้ำมะพร้าวถือเป็นเครื่องดื่มเกลือแร่จากธรรมชาติ (Natural Mineral Drink) เพราะอุดมไปด้วยแร่ธาตุหลายชนิด เช่น โพแทสเซียม เหล็ก โซเดียม แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ทองแดง กรดอะมิโน กรดอินทรีย์       และวิตามินบี แถมยังมีน้ำตาลกลูโคสที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้เป็นพลังงานได้ทันทีอีกด้วย

+ ชะลออาการอัลไซเมอร์
     คงคิดไม่ถึงละสิว่าการดื่มน้ำมะพร้าวทุกวันจะช่วยชะลออาการอัลไซเมอร์ได้ จากผลงานวิจัยของ    ดร.นิซาอูดะห์ ระเด่นอาหมัด อาจารย์ประจำภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พบว่า ในน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนคล้ายฮอร์โมนเพศหญิงหรือเอสโตรเจนสูง ซึ่งมีผลช่วยชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อมในสตรีวัยทอง นอกจากนี้ การดื่ม  น้ำมะพร้าวเป็นประจำทุกวันยังสามารถช่วยสมานแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้นกว่าปกติ และไม่ทิ้งรอยแผลเป็นให้กวนใจอีกด้วยค่ะ

     + ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง
     การปรนนิบัติผิวสวยด้วยการดื่มน้ำมะพร้าวถือเป็นจุดเด่นที่ไม่ควรมองข้าม เพราะน้ำมะพร้าวสามารถช่วยเสริมสร้างความสวยใสของผิวพรรณ ทำให้เปล่งปลั่งและขาวนวลขึ้นจากภายในสู่ภายนอก เพราะในน้ำมะพร้าวมีเอสโตรเจนอยู่ ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวกระชับ ยืดหยุ่น และชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ค่ะ ไม่เพียงเท่านี้นะคะ ในน้ำมะพร้าวยังสามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตและแบ่งเซลล์ได้ดี แถมยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ขับของเสียหรือสารพิษออกจากร่างกาย (คล้ายๆ กับการดีท็อกซ์นั่นแหละ) จึงช่วยให้ผิวพรรณผ่องใส อีกทั้งความเป็นด่างของน้ำมะพร้าวยังช่วยปรับสมดุลของร่างกายในช่วงที่มีความเป็นกรดสูง ทำให้กลไกการทำงานของระบบภายในเป็นปกติ ส่งผลให้มีสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก

     + สปอร์ตดริ๊งค์จากธรรมชาติ
     เนื่องจากน้ำมะพร้าวมีปริมาณเกลือแร่ที่จำเป็นสูง รวมทั้งมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาความอ่อนเพลียเนื่องจากอาการท้องเสียหรือท้องร่วงได้ จึงจัดเป็นสปอร์ตดริ๊งค์ (Sport Drink) สามารถดื่มหลังการสูญเสียเหงื่อจากการเล่นกีฬาหรือออกกำลังกาย นอกจากนี้ ในประเทศไต้หวันและประเทศจีน ยังนิยมดื่มน้ำมะพร้าวเพื่อลดอาการเมาหลังการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีกด้วย

 

 

เติมความสวยให้เรียวปาก
ตาโตกลมสวย ขนตางอนเด้ง จมูกโด่งได้รูป แก้มชมพูเปล่งปลั่งแต่ถ้าต้องมาสะดุด เพราะเรียวปากดำคล้ำ แห้ง ลอก แล้วล่ะก็ หมดกันเลยความมั่นใจ! จะจูจุ๊บหนุ่มคนไหนก็ได้อายเค้าไปถึงนั่น

สารพัดปัญหาเกิดขึ้นที่เรียวปากได้ทั้งนั้น เพราะปากเป็นอวัยวะที่ยื่นออกมาจากใบหน้า จึงมีโอกาสจะถูกสภาพแวดล้อมมาทำลายได้ง่ายพอๆกับจมูกและโหนกแก้มวันนี้เราเลยจะลองมาเจาะลึกแต่ละปัญหาของเรียวปาก พร้อมทั้งวิธีแก้ไขให้ปากสาวกลับมาสวยได้ดั่งเดิม

ปากสีคล้ำ
 เพราะพันธุกรรมคนผิวคล้ำย่อมมีริมฝีปากที่สีเข้มกว่าคนผิวขาว รวมทั้งสีของริมฝีปากยังจะเข้มขึ้นตามวัยที่มากขึ้นด้วย
 เพราะอากาศในฤดูหนาวริมฝีปากจะดำคล้ำกว่าเดิม เพราะอากาศที่หนาวเย็นจะทำให้เส้นเลือดหดตัว และมีเลือดดำมาคั่งบริเวณริมฝีปากมากกว่าปกติ
 เพราะอาหารไม่น่าเชื่อว่าในผักที่มีสาร โซราเลน” (psoralen) อย่าง ผักชีฝรั่ง ขึ้นฉ่าย หอม กระเทียม หรือผลไม้รสเปรี้ยว อย่าง ส้ม มะนาว มะม่วง สัปปะรด ก็เป็นสาเหตุของปัญหาปากสีคล้ำได้  เพราะสารโซราเลนเมื่อถูกรังสีอัลตราไวโอเล็ต จะทำให้ริมฝีปากอักเสบ และกระตุ้นให้เซลล์สร้างเม็ดสีมากขึ้น ซึ่งเราเรียกเหตุการณ์เช่นนี้ว่า ปฏิกิริยาแพ้แดดดังนั้นหลังจากทานผักผลไม้แล้ว อย่าลืมล้างปากให้สะอาด เพื่อไม่ให้โซราเลนตกค้างตามริมฝีปาก
 เพราะยายาบางชนิด เช่น ยารักษาโรคเบาหวาน ยาขับปัสสาวะ ยารักษาโรคหวัด ยารักษาเชื้อรา ก็สามารถทำให้เกิดปฏิกิริยาแพ้แดดได้เช่นกัน

ปากแห้ง ลอก เป็นขุย
 เพราะอากาศอากาศที่หนาว และความเย็นของห้องแอร์อาจทำร้ายให้ริมฝีปากแห้งได้ การดื่มน้ำมากๆจะช่วยแก้ปัญหานี้ด้วยการทดแทนความชุ่มชื้นให้กับผิวหนังทุกส่วนของร่างกาย
 เพราะลิปสติกสี กลิ่น น้ำหอม สารให้ความชุ่มชื้นในลิปสติก บางครั้งก็กลับมาทำร้ายริมฝีปากของเราอย่างไม่รู้ตัว ควรเลือกลิปสติกที่มีส่วนประกอบของสารจากธรรมชาติ รวมทั้งทาวาสลีนขาวหรือลิปบาล์มที่มีสารกันแดด
 เพราะยาสีฟันและน้ำยาบ้วนปากฟลูออไรด์ แอลกอฮอล์ รวมทั้งสารที่ทำให้เกิดฟองและรสซ่า ที่มีอยู่ในยาสีฟันและน้ำยาบ้วนปาก หากมีปริมาณมากเกินไปก็จะทำให้ปากแห้งลอกได้ เลือกยาสีฟันที่เผ็ดน้อยลงหน่อย หรือยาสีฟันเด็กไปเลยก็ยังได้ หรือใช้วาสลีนขาวหรือเบบี้ออยส์ทาริมฝีปากก่อนลงมือแปรงฟัน

อีกอย่างที่หลายคนใช้แก้ปัญหาเมื่อริมฝีปากแห้งก็คือการเลียปาก จริงอยู่ที่มันอาจทำให้ปากชุ่มชื่นแต่ก็ชั่วคราวเท่านั้น เมื่อความชื้นระเหยไปปากก็จะแห้งยิ่งกว่าเก่า รวมทั้งเอนไซม์ในน้ำลายยังทำลายผิวหนังที่ริมฝีปากอีกต่างหาก หนำซ้ำการเลียริมฝีปากบ่อยๆยังทำให้เสียบุคลิกไม่เห็นจะดีตรงไหน รู้แล้วก็เลิกซะ!

เมื่อรู้วิธีดูแลรักษาเรียวปากมากขนาดนี้แล้ว อย่าลืมเอาไปใช้เติมเสน่ห์ให้กับตัวเองจูจุ๊บกับใคร เจอหนุ่มหน้าไหนจะได้ไม่อายเค้านะ!

 

สูตรลับสำหรับสาวหน้าเกลี้ยง
สูตรเด็ดเคล็ดลับจากพืชพรรณธรรมชาติที่สาวๆ สามารถหาได้ง่ายๆ และทำเองได้เพื่อใบหน้าใสๆ ไร้สิว ผิวเกลี้ยงเกลา

แต่ยังไงก็ตาม ขอเตือนก่อนสำหรับสาวที่มีผิวที่แพ้ง่ายอาจต้องระวังกันซักนิด ก่อนจะนำสูตรใสปิ๊งนี้ไปโบ๊ะหน้าของคุณ อาจจะต้องทดสอบกันก่อนโดยนำส่วนผสมเพียงเล็กน้อยมาแตะทีบางส่วนของใบหน้า ถ้าไม่รู้สึกคัน หรือแสบร้อนมากๆ ก็เป็นอันว่าใช้ได้

ส่วนผสมสำหรับ 1 หน้า
1. สตอรเบอรี่ 2 ลูก
2. แตงกวาผ่าครึ่ง 1 ซีก
3. น้ำมะนาว 1 ช้อนชา
4. น้ำขิงสดควรคั้นจากราก

นำส่วนผสมทั้งหมดมามิกซ์รวมกัน โดยอาจนำเข้าเครื่องปั่น เมื่อส่วนผสมเข้ากันดีแล้วให้นำมาพอกทั่วทั้งใบหน้า ยกเว้นบริเวณรอบดวงตาเป็นเวลาประมาณ 10 นาที อาจรู้สึกแสบนิดๆ แต่ถ้าแสบมากมายให้รีบล้างออกทันที ถ้าไม่เป็นไรเมื่อทิ้งไว้ครบ 10 นาทีแล้วให้ล้างออก อาจทำเป็นประจำสัปดาห์ละครั้งหน้าก็จะเกลี้ยงเกลา เบา สบายใจ สาวหน้าใสทุกคน

 

ถนอมตาสวย ด้วยวิถีธรรมชาติ
เมื่อพูดถึงการดูแลผิว ไม่ว่าผิวส่วนไหน ก็แน่นอนอยู่แล้วค่ะว่าจะต้องเกี่ยวพันกับสุขภาพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้แต่ผิวรอบดวงตา ที่เมื่อใดที่เราเริ่มมีปัญหาสุขภาพ โดยเฉพาะเมื่อร่างกายเกิดอาการ ธาตุไฟไม่สมดุล ผิวบริเวณนี้จะได้รับผลกระทบก่อนใครเพื่อนเลยทีเดียว

         อาการธาตุไฟไม่สมดุลนี้ สามารถเกิดขึ้นได้ง่าย โดยสิ่งกระตุ้นจากอากาศและสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่รายล้อมอยู่รอบตัวเรา รวมไปทั้งปัจจัยความเครียด และความเหนื่อยล้าจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ เป็นสาเหตุสำคัญที่จะทำให้บริเวณรอบๆดวงตาเป็นรอยหมองคล้ำและบวมแดง เห็นได้ชัดกว่าผิวบริเวณอื่น เพราะผิวส่วนนี้มีความละเอียดอ่อนและบอบบางมากกว่าผิวบริเวณอื่นๆ และยังเป็นบริเวณที่มีเส้นประสาทและเซลล์ต่างๆอยู่เป็นจำนวนมาก จึงถูกทำร้ายได้ง่าย ซ้ำร้ายยังไวต่อการร่วงโรยเป็นพิเศษซะอีกด้วย และบางที การที่คุณทำความสะอาดผิวหรือเมคอัพรอบดวงตาอย่างไม่ระวัดระวังหรือหนักมือเกินไป ก็เป็นการทำร้ายผิวได้พอๆกันค่ะ

         ปัจจุบันนี้ แม้ว่าจะมีผลิตภัณฑ์สำหรับดูแลรอบดวงตาโดยเฉพาะ แต่ถึงอย่างไร เราก็ยังต้องพึ่งการดูแลด้วยธรรมชาติควบคู่ไปพร้อมๆกัน ซึ่งในเรื่องนี้ นายแพทย์แอนดรูว์ ไวล์ จากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ได้ร่วมกับผลิตภัณฑ์ออริจินส์ มาให้คำแนะนำถึงในการดูแลสุขภาพผิวรอบดวงตา โดยเน้นเรื่องการดูแลสุขภาพโดยผสมผสานเอาวิธีธรรมชาติเข้าไปด้วย ผมคิดว่า แนวความคิดในเรื่องการดูแลสุขภาพด้วยการผสมสานวิธีธรรมชาติเข้าไปด้วยนั้น มีข้อเด่นคือ คุณเป็นผู้กุมบังเหียนสุขภาพของตัวเองไว้ในมือ คุณจะรู้อย่างแน่ชัดว่า สิ่งที่คุณกินหรือทำนั้น ก่อผลต่อสุขภาพอย่างไร
         วิธีการดูแลสุขภาพผิวรอบดวงตาที่คุณหมอแนะนำ ก็มีอยู่หลายข้อทีเดียวค่ะ ซึ่งเราสามารถนำไปปฏิบัติกับตัวเองได้อย่างง่ายๆ

เคล็ดลับคงความอ่อนเยาว์ให้ดวงตาดูสวยสดใส
    – ควรตรวจสุขภาพตาเป็นประจำทุกๆ 2 – 4 ปี แต่สำหรับผู้ที่อายุ 65 ปีขึ้นไปแล้ว ควรจะตรวจให้บ่อยขึ้นคือทุกๆ 1 – 2 ปี
    – สำหรับผู้ที่ต้องนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นประจำ ควรเริ่มฝึกนิสัยในการพักสายตา โดยการมองออกไปไกลๆ ทุกๆ 10 15 นาที
    – ควรสวมแว่นตาดำที่สามารถปกป้องและกรองแสงยูวีได้ ทุกครั้งที่ต้องออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้งที่มีแดดจัดจ้า
    – ปกป้องและระวังไม่ให้ดวงตาสัมผัสกับควันและฝุ่นละอองต่างๆโดยตรง
อาหารเสริมเพื่อดวงตาสดใส
    – รับประทานผัก ผลไม้ ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti Oxidant) ในปริมาณสูง เช่น ผลบลูเบอร์รี่ ผักใบเขียว และแครอท ซึ่งจะช่วยลดอันตรายจากอนุมูลอิสระในแสงแดดที่ทำลายจอตา และช่วยลดปัญหาตาบอดจากจอประสาทตาเสื่อมได้ อีกทั้งช่วยให้สายตาทำงานดีขึ้นในที่มืด และมีความไวในที่แสงน้อยๆดีกว่า

    – รับประทานผักที่มีสารลูทีน (Lutien) และซีแซนทีน (Zeaxanthin) ซึ่งเป็นสารแคโรทีนอยด์ชนิดหนึ่ง มีสีเหลือง พบมากในพืชผักที่มีสีเหลืองและสีเขียวเข้ม เช่น ผลอะโวคาโด บร็อคโคลี่ ข้าวโพด ฟักทอง ผักโขม และผักกวางตุ้ง เหล่านี้ล้วนเป็นสารธรรมชาติที่พบมากในตาบริเวณจุดรับภาพและจอประสาทตา ทำหน้าที่ช่วยกรอง หรือป้องกันรังสีจากแสงแดด ช่วยปกป้องเซลล์ของจอประสาทตา ไม่ให้ถูกทำลาย โดยการต้านอนุมูลอิสระพร้อมทั้งกรองแสงสีน้ำเงินที่จะทำลายดวงตา

    – รับประทานสารสกัดของโอเมก้า 3 หรือรับประทานปลาชนิดต่างๆ

เคล็ดลับการนวดกดจุดเพื่อผ่อนคลายบริเวณรอบดวงตา
    1. ใช้ปลายนิ้วชี้ กลาง และนาง ยืดคิ้วออกทางด้านข้าง 3 ครั้ง
    2. ใช้นิ้วกลางของทั้งสองข้าง หมุนวนรอบดวงตาพร้อมๆกัน ในลักษณะวนตามเข็มนาฬิกา และแต่ละครั้งให้หยุดกดที่บริเวณหัวคิ้ว ทำแบบนี้ซ้ำทั้งหมด 60 รอบ
    3. ใช้นิ้วกลางกดจุดไล่ตั้งแต่หัวคิ้วไปถึงขมับ 3 รอบ
    4. กดจุดไล่ลงมาที่บริเวณใต้ตา ไล่ตั้งแต่หัวตาไปถึงหางตา 3 รอบ
    5. ใช้นิ้วกลางนวดที่บริเวณขมับ หมุนเป็นรูปเลขแปด ทำซ้ำทั้งหมด 6 รอบ
    6. ทำซ้ำข้อ 2 – 5 ทั้งหมด 3 รอบ
    7. นำมือทั้งสองข้างปิดที่ดวงตา โดยลากน้ำหนักลงที่ปลายนิ้ว ออกไปที่ด้านข้างกรอบหน้า แล้วจึงค่อยๆ ยกฝ่ามือออกจากใบหน้า

เคล็บลับผิวหน้าใส ห่างไกลสิว
ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจสำหรับสาววัยใส กับปัญหาเรื่องสิว แต่ใครที่มีลูกสาวอยู่ในช่วงวัยรุ่น คงจะพบปัญหาคล้ายๆกัน นั่นก็คือ บรรดาสาวน้อยทั้งหลาย มักจะเป็นกังวลกันนักหนา เวลาที่ตื่นขึ้นมาพบว่า มีสิวผุดขึ้นมาบนใบหน้า ขนาดที่ว่าไม่ยอมออกไปไหนเพราะกลัวคนจะเห็น แล้ววัน ๆ ก็จะยุ่งอยู่แต่กับสิว เดี๋ยวบีบเดี๋ยวแกะ หาโน่นนี่มาโปะ บ่นแล้วบ่นอีก เป็นอย่างนี้กันจริง ๆ ค่ะ

ความจริงแล้ว สิวเป็นเรื่องธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้กับทุกคนทั้งหนุ่มและสาว รวมไปถึงผู้ใหญ่ก็ยังเป็นสิวได้เหมือนกัน เพราะสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวนั้นมีมากมาย จากปัจจัยทั้งจากภายในและภายนอกร่างกาย แต่ก่อนที่จะมาเรียนรู้วิธีดูแลสิวอย่างถูกวิธี เรามารู้จักกับสิวสารพัดชนิดกันก่อนนะคะ

โดยทั่วไปแล้ว สิวที่วัยรุ่นเป็นกันบ่อย ๆ ก็คือ

สิวเสี้ยน มักจะพบมากบริเวณจมูก ลักษณะเป็นจุดดำๆหรือเห็นเป็นหนามแหลม สีขาว เป็นสิวที่เกิดจากการอุดตันของไขมันที่จับตัวเข้ากับเยื่อรูขุมขนที่หลุดลอกออก และขนอ่อนที่ตกค้างในรูขุมขน เวลากดสิว ไขมันก็จะหลุดออกมาเป็นสิวเสี้ยน

สิวผด หรือสิวเทียม เป็นผดเม็ดเล็ก ๆ ที่ขึ้นแถว ๆ หน้าผากและแก้ม ลักษณะไม่เป็นสิวชัดเจน แพทย์บางท่านจึงเรียกว่า สิวเทียม เพราะไม่มีคอมิโดน (Comedone) หรือไม่เกี่ยวกับต่อมไขมัน

สิวหัวเปิด หรือสิวหัวดำ คือสิวที่มีรูเปิดออกบริเวณผิวภายนอก ทำให้บริเวณที่เป็นหัวสิว สัมผัสกับแสงแดดและฝุ่นละออง ซึ่งจะสังเกตเห็นเป็นจุดดำ ๆ อยู่บริเวณหัวสิว แต่มักไม่อักเสบ และสามารถหลุดออกได้เอง

สิวอุดตัน หรือสิวหัวขาว เกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถขับถ่ายไขมันบริเวณรูขุมขนออกมาได้ จึงเกิดการสะสมเป็นก้อนอุดตันอยู่ภายใน (คอมิโดน) เป็นก้อนนูนเล็กๆพบได้ทั่วไปบริเวณใบหน้า หน้าอก หรือหลัง ซึ่งจะเป็นต้นเหตุของการเกิดสิวอักเสบต่อไป

สิวอักเสบ เกิดขึ้นมาจากสิวอุดตัน หรือสิวหัวขาวที่มีการติดเชื้อแบคทีเรีย ทำให้เกิดการอักเสบ เห็นเป็นรอยนูนแดงได้อย่างชัดเจน ถ้าการอักเสบนี้อยู่บริเวณต้น ๆ ของท่อไขมัน ก็จะเห็นเป็นตุ่มหนอง ถ้าอยู่ลึกลงไป จะเห็นเป็นก้อนนูนบวมขึ้นมา แต่หากมีการอักเสบที่รุนแรงมาก และลึกลงไปใต้ชั้นผิวหนังจนกลายเป็นถุงหนองฝังอยู่ภายใน จะเรียกว่า สิวหัวช้าง หรือสิวอักเสบนั่นเอง

สิวชนิดนี้ เป็นชนิดที่ทำให้วัยรุ่นขาดความมั่นใจมากที่สุด เพราะเป็นสิวชนิดที่สังเกตเห็นได้ง่าย ทำให้หน้าไม่เรียบ โดยเฉพาะจะดูบวมแดง ไม่สวยงาม และยังมักจะทิ้งปัญหารอยแผลเป็นเอาไว้อีกด้วย

ได้รู้จักกับสารพัดสิวกันไปแล้ว ทีนี้ก็เรียนรู้วิธีดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากสิวกันเลยค่ะ

เคล็ดลับหน้าใส ห่างไกลสิว

1. สำคัญสุดคือ รักษาความสะอาดของใบหน้าอยู่เสมอ อย่างน้อยควรจะล้างหน้าวันละ 2-3 ครั้ง เพื่อลดความมัน

2. หลังทำกิจกรรมที่มีเหงื่อออกมากๆแล้ว ควรล้างหน้าทุกครั้ง เพื่อชำระล้างสิ่งสกปรก ความมัน และแบคทีเรียบนใบหน้า

3. ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า สูตรปราศจากความมัน 100 เปอร์เซ็นต์ และที่มีส่วนผสมของ Tricosan ซึ่งสามารถขจัดแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิว หรือที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากพืชธรรมชาต ิที่เหมาะกับสภาพผิวที่มีปัญหาสิวโดยเฉพาะ

4. ระหว่างที่เป็นสิว ควรงดใช้ผลิตภัณฑ์ใส่ผม หรือเครื่องสำอางที่มีความเหนียวเหนอะหนะสักระยะหนึ่ง เพราะสารในผลิตภัณฑ์เหล่านี้ มักตกค้างอยู่แถวๆตีนผม ซึ่งจะทำให้เกิดการระคายเคืองและเป็นสิวเพิ่มมากขึ้น

5. เวลาเป็นสิว พยายามเก็บมือเก็บไม้ไว้กับตัวหน่อยนะคะ โดยเฉพาะอย่าใช้มือที่ไม่สะอาดไปลูบหรือสัมผัสหน้าบ่อยๆหรือไม่สัมผัสเลย ถ้าไม่จำเป็น

6. ข้อนี้ต้องเน้นว่า ห้ามเลยละค่ะ …ห้ามบีบหรือแกะสิวเป็นอันขาด เพราะจะทำให้เกิดรอยแผลเป็นที่รักษาได้ยาก

7. ควรรักษาสุขภาพโดยทั่วไปให้ดีอยู่เสมอ รับประทานผัก ผลไม้ น้ำผลไม้ และน้ำสะอาด ให้มาก ๆ รวมทั้งพยายามอย่าเครียด และอย่านอนดึก เป็นดีที่สุดค่ะ

 วิธีสวยด้วยน้ำผึ้ง
หลังจากรู้แล้ว ก็เริ่มปฏิบัติเสริมสวยกันเลย…

1.น้ำผึ้งช่วยปรับสมดุลของร่างกายและควบคุมน้ำหนัก ใครที่มีปัญหาปวดข้อ ปวดกระดูก เป็นตะคริวอยู่บ่อย ๆ หรือแม้กระทั่งโรคอ้วน ก็สามารถดื่มน้ำผึ้ง เพื่อช่วยบรรเทาโรคต่าง ๆ ได้

วิธีคือ นำน้ำผึ้ง 3 ช้อนผสมกับน้ำส้มสายชูหมักแอ๊ปเปิ้ล (หรือ Apple Vinegar) 3 ช้อนชา ผสมน้ำเปล่า 1 แก้ว ดื่มทุกเช้าหลังตื่นนอนและระหว่างมื้อเป็นประจำทุกวัน จะทำให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงและสดชื่น

2. หน้าแห้งแตกเป็นขุย สาวที่มีผิวหน้าแห้งกร้านเหมือนอีสานแล้ง ควรทำเป็นอย่างยิ่ง นำไข่แดง 1 ฟอง และน้ำผึ้ง 1ช้อนผสมให้เข้ากัน พอกหน้าทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

3. น้ำผึ้งสยบสิ้วเสี้ยนบนใบหน้า หลังล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น เช็ดหน้าให้แห้ง จากนั้นนำกล้วยหอมครึ่งลูก บดผสมกับน้ำผึ้ง นำมาทาบนใบหน้าทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออก น้ำผึ้งมีเอนโซม์ที่ทำให้หน้าคุณชุ่มชื่นนุ่มนวลขึ้น และยังบำรุงผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ด้วย

4. ผมหยาบกระด้างเกินเยียวยา ต้องลองสูตรนี้ หลังสระผมเสร็จ นำน้ำผึ้งผสมกับน้ำมันมะกอกอย่างละ 3 ช้อนโต๊ะ ชโลมผมแล้วทิ้งไว้ 3-5 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด ผมคุณจะนิ่มและเงางามดุจเส้นไหม

5. ใครที่นอนไม่หลับ ฟังทางนี้ด่วน ผสมน้ำผึ้งกับน้ำอุ่น หรือนมร้อนดื่มก่อนนอน จะช่วยให้คุณหลับสบายขึ้น

6. สครับหน้าแบบง่าย ๆ เพียงนำน้ำผึ้งผสมกับแอ๊ปเปิ้ลมาปั่นรวมกัน ทาให้ทั่วใบหน้า พร้อมกับนวดเบา ๆ ความหยาบของแอ๊ปเปิ้ลจะช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่าให้ออกไปให้ผิวหน้าสดใสเปล่งปลั่งขึ้น

7. สูตรไล่ตีนกาออกจากหน้า นำแครอท 1 หัวเล็กมาปอกเปลือกและปั่นให้ละเอียด ผสมกับน้ำผึ้ง และนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 5-10 นาที ริ้วรอยตีนเป็ดตีนกาทั้งหลายจะค่อย ๆ โบยบินออกจากหน้าของคุณในเร็ววัน

8. เสียงใสเหมือนระฆังเงิน หากใครเกิดอาการเจ็บคอ รู้สึกคอแห้งเสียงแหบร้องราคาโอเกะไม่สนุกละก็ เพียงผสมน้ำมะนาว 1 ลูก + น้ำผึ้ง 2-3 ช้อนโต๊ะ + น้ำเดือด 2 ช้อนโต๊ะ จิบบ่อย ๆ แก้เจ็บคอ แต่หากกินไม่หมดก็นำมาทาหน้าได้ด้วย ทาทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ผิวหน้าจะขาวใสและเต่งตึงขึ้นทันตาเห็น

      เวลาเลือกมาสก์ควรคำนึงถึงสภาพผิวของเราด้วย ถ้าหากคุณมีผิวมัน เลือกใช้มาสก์ที่ทำจากโคลน เพื่อช่วยดูดซับน้ำมันส่วนเกินบนผิว แต่ถ้าคุณมีผิวแห้ง ลองมาสก์ชนิดเนื้อครีมเข้มข้นให้ความชุ่มชื้น หรือถ้าคุณมีผิวแพ้ง่าย ควรเลือกใช้มาสก์ชนิดเจลเนื้อเบา แต่ถ้าคุณมีผิวผสม อาจต้องการมาสก์ที่มากกว่า 1 ชนิดเพื่อการพอกในจุดที่ต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น ป้องกันการเกิดสิวบริเวณช่วงทีโซนด้วยมาสก์ที่ช่วยทำความสะอาดล้ำลึก ส่วนบริเวณแก้มใช้มาสก์ที่ให้ความชุ่มชื้นเพื่อผิวนุ่มนวลน่าสัมผัส จะยิ่งดีใหญ่ถ้าหากสามารถเลือกมาสก์ที่ช่วยดูแลปัญหาอย่างเฉพาะเจาะจงและเหมาะกับสภาพผิวของคุณอย่างแท้จริง

สำหรับสาวๆ ที่ชอบทำมาสก์เองด้วยผลิตผลจากธรรมชาติ หน้าฝนอย่างนี้แนะนำให้ใช้
นมสด 1/2 ช้อนชา
น้ำผึ้งแท้ 1/2 ช้อนชา
ผสมให้เข้ากัน นำมาทาใบหน้าทิ้งไว้ประมาณ 8-10 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด

วิธีการใช้มาสก์ที่ถูกต้อง
1. ควรรวบผมไปด้านหลังด้วยผ้าหรือที่คาดผม เพื่อให้ผิวไร้สิ่งรบกวน
2. ล้างทำความสะอาดผิวหน้าและลำคอให้สะอาดหมดจด
3. ทาครีมบำรุงรอบดวงตาและบริเวณริมฝีปากให้เรียบร้อยเสียก่อน
4. พอกมาสก์ลงบนผิวหน้าและลำคอในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่น้อยจนเกินไป แล้วก็ไม่ควรทิ้งไว้บนผิวหน้าเกินกว่า 20 นาที
5. ล้างออกด้วยน้ำอุ่นหรือใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดออกเบาๆ
6. ฉีดสเปรย์น้ำแร่ แล้วตามด้วยครีมบำรุงผิว

   จะทำอย่างไรให้ฟันขาว
ฟันเหลืองเกิดขึ้นจากสาเหตุใด
ฟันคนเราปกติจะมีสีขาวเป็นมันวาว แต่บางคนจะมีฟันเหลือง หรือดำคล้ำ แลดูไม่สวยงาม โดยอาจจะเป็นเพียงบางซี่ หรือทุกๆซี่ก็ได้ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ฟันคนเราไม่ขาวก็จะมาจากหลายสาเหตุด้วยกัน คือ
1. การที่คนเรารับประทานอาหาร หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีสี เป็นประจำ เช่น ชา กาแฟ
การอมลูกอม สูบบุหรี่ ร่วมกับการที่เราแปลงฟันไม่สะอาดพอ จึงทำให้มีคราบอาหาร คราบแบคทีเรีย และหินปูน มาเกาะติดสะสมทีละน้อย ๆ จนเห็นเป็นสีเหลือง สีน้ำตาล หรือสีดำติดตามซอกฟัน

2. เกิดจากฟันผุ ซึ่งมักจะมีสีเหลืองเข้ม หรือสีน้ำตา โดยเฉพาะฟันที่อยู่ด้านหน้าทำให้ มองเห็นได้ชัดเจน
3. เกิดจากฟันตาย ซึ่งหมายถึง ฟันที่ไม่มีเลือด และประสาทฟันมาหล่อเลี้ยงทำให้ฟันมีสี ทึบ ไม่โปร่งเหมือนฟันที่มีชีวิตอยู่ ซึ่งจะเกิดขึ้นกับฟันที่ผุมาก ๆ และทิ้งไว้เป็นระยะเวลานาน จนฟันผุลุกลามถึงโพรงประสาทฟัน หรืออาจเกิดขึ้นกับฟันที่ได้รับอุบัติเหตุ หรือถูกกระแทกอย่างแรง จนมีการฉีกขาดของเส้นเลือดที่มาหล่อเลี้ยงฟัน เมื่อทิ้งไว้นาน ๆ โดยไม่มีการดึงประสาทฟันออก ฟันจะยิ่งมีสีคล้ำมากขึ้น

4. ฟันมีสีผิดปกติมาตั้งแต่กำเนิด เนื่องมาจากโรคบางอย่าง หรือการได้รับยาบางชนิด มากเกินไป เช่น ยาเตตราซัยคริน ซึ่งการกินยาตัวนี้ จะมีผลต่อสีของฟัน โดยเฉพาะในช่วงที่มีการก่อตัวหรือสร้างฟันเท่านั้น คือ ฟันน้ำนม ในเด็กอายุ 3-9 เดือน และฟันแท้ในเด็กอายุ 3-12 ปี ทำให้ฟันแทบทุกซี่มีสีค่อนข้างเหลือง หรือเป็นสีเทาดำ นอกจากนี้อาจเกิดจากการได้รับฟลูออไรด์มากเกินไป จะมีจุดสีน้ำตาลบนฟัน ที่เรียกว่า ฟันตกกระ

วิธีใดบ้างที่จะทำให้ฟันขาว มีกี่วิธี
วิธีที่จะทำให้ฟันขาวนั้นมีอยู่หลายวิธี ขึ้นอยู่กับสาเหตุ และลักษณะของสีฟันที่ผิดปกติไป
1. วิธีแรกที่ง่ายมากก็คือ การแปรงฟันให้สะอาดอย่างทั่วถึงหลังอาหารทุกมื้อร่วมกับการไปพบทันตแพทย์อย่างสม่ำเสมอเพื่อขูดหินปูนและขัดฟัน ซึ่งการขัดฟันจะไม่ทำให้ฟันบางลงอย่างที่บางคนเข้าใจ ถ้าเกิดการมีฟันผุก็จัดการให้เรียบร้อย ในฟันหน้าทันตแพทย์จะกรอส่วนที่ผุ มีสีดำ หรือสีเหลืองออก แล้วอุดด้วยวัสดุที่มีสีเหมือนฟัน เท่านี้ ฟันก็จะมีสีขาวสะอาดได้เหมือนปกติ

2. การฟอกสีฟัน คืออะไร
การฟอกสีฟันในปัจจุบัน คือการฟอกสีฟันทั้งปาก ได้รับความนิยมจากบุคคลทั่วไป และ
มีการวิวัฒนาการของยาที่ฟอกสีฟัน ทำให้ใช้ได้สะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น การฟอกสีฟันทั้งปาก ทำให้ 2 วิธี
วิธีแรก เป็นวิธีที่จะต้องทำในคลินิก โดยทันตแพทย์จะเป็นผู้ทำ โดยใช้สารฟอกสี ซึ่งส่วนใหญ่ คือ สารประเภท Peroxide ที่มีความเข้มข้น 30-35 % ระยะเวลาในการทำในแต่ละครั้ง คือประมาณ 30 นาที – 1 ชั่วโมง
วิธีที่สอง คือ คนไข้สามารถนำสารฟอกสีกลับไปทำเองได้ที่บ้าน โดยทันตแพทย์จะเตรียมอุปกรณ์ให้ แต่คนไข้ต้องกลับมาตรวจเป็นระยะตามที่ทันตแพทย์นัดสารฟอกสีที่ใช้ก็จะเป็นประเภทเดียวกับที่ทำในคลีนิค แต่จะมีความเข้มข้น น้อยกว่า คือ ประมาณ 2-10% ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัย วิธีฟอกก็ไม่ยาก เพียงแต่บีบสารฟอกสีลงในถาดฟันยางที่ทันตแพทย์ทำเฉพาะไว้สำหรับแต่ละคน จำนวนน้ำยาที่ใส่ลงในถาดก็ประมาณเพียง 1 ใน 3 ของถาด แล้วสวมฟันยางไว้ วันละ 1-2 ชม. ทุกวันและจะต้องกลับไปพบทันตแพทย์ตามกำหนดนัด

ต้องใช้ระยะเวลาในการรักษามากน้อยแค่ไหน
ระยะเวลาที่ใช้นั้นมักขึ้นอยู่กับสีและคราบคล้ำของฟัน ถ้าฟันมีสีเหลืองไม่มากก็อาจจะ ฟอกให้ขาวได้ในเวลา 2-3 สัปดาห์ แต่ถ้าหากฟันมีสีเหลืองเข้ม หรือสีเทาอ่อนก็อาจจะต้องฟอกให้ขาวได้นานพอสมควร แต่ใช้เวลาในการฟอกมากขึ้นเป็น 4-5 สัปดาห์

สารฟอกสีมีอันตรายหรือผลข้างเคียงต่อเหงือกหรือฟันหรือไม่
อันตรายหรือผลข้างเคียงต่อเหงือกหรือฟัน ก็มีบ้างโดยเฉพาะชนิดที่ทำในคลินิกเพราะมี ความเข้มข้นสูง แต่ทันตแพทย์ผู้ทำเขาจะระมัดระวังและป้องกันเป็นอย่างดี ส่วนชนิดที่ทำที่บ้านนั้น จะต้องมีความเข้มข้นน้อย จึงไม่ค่อยมีอันตราย ถึงแม้ว่าเราอาจจะกลืนสารฟอกสีลงไปบ้างเล็กน้อย เพราะสารฟอกสีจะสลายตัวกลายเป็นน้ำได้ง่าย

ส่วนอาการที่จะเกิดขึ้นก็อาจจะมีอาการแสบเหงือกและเนื้อเยื่ออ่อนในช่องปาก เนื่องจากการระคายเคืองโดยตรงที่สัมผัสกับน้ำยา และอีกอาการหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอ ก็คือ การเสียวฟันหลังจากฟอกสี แต่ประสาทฟันจะมีการป้องกันตัวเองโดยธรรมชาติและอาการก็จะค่อย ๆ ทุเลาลงและหมดไปเมื่อเราหยุดฟอกสี นอกจากนี้ทันตแพทย์ก็อาจเคลือบได้การเคลือบฟลูออไรด์ การฟอกสีฟันทั้งปากไม่ได้ทำให้ฟันสึกกร่อนหรืออ่อนแอลงแต่อย่างไร

ถ้าทำการรักษาเรียบร้อยแล้วจะต้องทำอีกหรือไม่ มีการทำแบบถาวรหรือไม่
การฟอกสีฟันเมื่อฟอกแล้วสีกลับมาเหมือนเดิมหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับสภาพก่อนฟอก ถ้า เดิมสีค่อนข้างคล้ำ โอกาสคืนกลับสู่สีเดิมจะเป็นไปได้สูง ในเวลา 1-2 ปี แต่การฟอกสีฟันที่สีเหลืองอ่อน จะขาวได้นานประมาณ 3-4 ปี ทั้งนี้ต้องขึ้นกับความระมัดระวังป้องกันการติดสีจากคราบอาหารด้วย และเมื่อสีฟันคล้ำลงอีกก็สามารถใช้ยาฟอกสีฟันซ้ำได้อีก

ส่วนวิธีอื่น ๆ ที่จะทำแบบถาวรก็มี เช่น
การทำเคลือบฟัน โดยทันตแพทย์จะกรอแต่งผิวเคลือบฟันด้านหน้าออกเล็กน้อย แล้ว ปิดทับด้วยวัสดุอุดสีขาว หรือสีเหมือนฟัน ตบแต่งให้ได้รูปร่างสวยงาม ซึ่งวิธีนี้ จะทำให้ฟันขาวค่อนข้างถาวรกว่าการฟอกสี แต่ก็ยังมีโอกาสเสื่อมได้ คือ อาจจะมีรอยแตก กะเทาะของวัสดุที่ทำเคลือบเมื่อใช้ไม่ระมัดระวัง แต่สามารถซ่อมแซมหรือทำใหม่ได้ไม่ยากนัก แต่วิธีนี้โดยทั่วไปค่าใช้จ่ายก็จะแพงกว่าการฟอกสีฟัน นอกจากนี้ก็ยังมีอีกวิธีหนึ่ง คือ

การทำครอบฟัน ทันตแพทย์จะกรอแต่งผิวเคลือบฟันออกทั้งซี่ ให้เหลือเป็นแกนแล้ว ทำฟันปลอมครอบทับลงไปติดแน่นด้วยซีเมนต์ทันตกรรม ฟันที่ดำหรือแตก บิ่น สารมารถทำครอบที่มีสีและรูปร่างให้สวยงามได้ดี จึงถือว่าเป็นการเปลี่ยนสีฟันได้อย่างถาวร แต่ค่าใช้จ่ายจะแพงกว่าการทำเคลือบฟัน และการฟอกสีฟัน

ในเด็กสามารถทำได้หรือไม่
ในเด็กก็สามารถทำได้ แต่ไม่มีความจำเป็นต้องทำ ปกติเด็กก็จะมีฟันแท้ขึ้น อายุประมาณ 6-7 ปี ฟันแท้ที่ขึ้นมามักจะมีฟันเหลืองกว่าฟันน้ำนมอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็เป็นสีที่เป็นธรรมชาติจึงไม่จำเป็นต้องฟอกสีฟัน นอกจากรายที่มีความปกติจริง ๆ เท่านั้น

ในกรณีใดบ้างที่ไม่สามารถทำได้ มีข้อห้ามบ้างหรือไม่
ข้อห้ามนั้นไม่มี แต่บางทีการจะตัดสินใจว่าจะฟอกสีฟันใหม่หรือไม่นั้น ก็จะขึ้นอยู่กับ ความจำเป็นด้วย บางคนคิดว่าตัวเองมีฟันสีเหลือง แต่จริง ๆ แล้วก็เป็นสีโทนปกติของฟัน

การฟอกสีฟันด้วยตนเองที่มีขายตามท้องตลาดนั้น สามารถทำเองได้หรือไม่
ยาฟอกสีฟันชนิดที่วางขายตามร้านค้า บุคคลทั่วไปสามารถซื้อไปฟอกเองที่บ้านได้ และ ยาสีฟันที่ทำให้ฟันขาวก็มีออกมาสู่ท้องตลาดมากขึ้น ซึ่งเป็นประเภทที่นอกเหนือจากการดูแลของทันตแพทย์ จึงยังไม่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป

ข้อแนะนำ
ขอแนะนำในเรื่องของการแปรงฟันให้สะอาดหลังอาหารทุกมื้อ ร่วมกับ การใช้ไหมขัดฟัน เพราะการทำความสะอาดโดยการใช้แปรงสีฟันอย่างเดียวจะทำได้ไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะตามซอกฟัน ในเรื่องของการบริโภคอาหาร ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะผักและผลไม้ หลีกเลี่ยงการกินของหวานและของเหนียวที่ติดฟัน ไม่กินจุกกินจิก และที่สำคัญหมั่นไปพบทันตแพทย์อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อตรวจสุขภาพช่องปาก หากมีฟันที่ผุ ทันตแพทย์ก็จะจัดการอุดให้เรียบร้อย และขูดหินปูน ขัดฟัน เท่านี้คุณก็จะสุขภาพช่องปากที่สมบูรณ์ ฟันขาว สะอาด และสวยงามได้อย่างแน่นอน

เปิดครัว มาทำสวยกันเถอะ
นม
คลีโอพัตรา อาจล่วงรู้เคล็ดลับในคุณค่าน้ำนมก่อนใคร (เช่นการอาบน้ำนมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื่น) แต่สาวๆ รุ่นใหม่ก็สามารถคว้าน้ำนมมาปรุงสวยได้ไม่ยาก ประการแรกลองนำน้ำนมมาหมักผมเพื่อเพิ่มคุณค่าโปรตีน หรือนำมาชะโลมผิวเพื่อความนุ่มนวล และถ้ายิ่งดื่มได้ ก็ยิ่งดีต่อสุขภาพเข้าไปใหญ่ และนี่คือสูตรหมักผมที่เรานำมาฝาก

ผสมนมผงกับน้ำ 1 ถ้วย จากนั้นนำไปหมักผมที่แห้งให้ทั่ว นำผ้าขนหนูที่จุ่มน้ำอุ่นหมาดๆ บิดให้ แห้งแล้วพันไว้ ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที เปลี่ยนผ้าขนหนูถ้าหมดความร้อน แล้วสระออกด้วยแชมพู เท่านี้ผมก็ สวยไม่แพ้การหมักเบียร์ที่เราๆ คุ้นเคยแล้วล่ะ

สูตรสวยสำหรับใบหน้า ลองใช้สำลีชุบน้ำนมและใช้แทนโทนเนอร์ เสร็จแล้วให้ล้างออก ส่วนการสครับ ผิว คนผิวมันลองผสมนมผง 1 ช้อนชา น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา และน้ำมะนาวเข้าด้วยกัน จากนั้นนำมาสครับใบหน้า จะ ช่วยให้ผิวดูสดใสขึ้น ส่วนคนผิวแห้งถึงผิวธรรมดา ลองผสมแบบเดียวกันแต่ไม่เติมน้ำมะนาว รับรองว่าผิวจะ สวย ขาว และดูพิสุทธิ์เช่นเดียวกับน้ำนมนั่นเลยค่ะ

อะโวคาโด
เรารู้จักสรรพคุณจากอะโวคาโดมาตั้งแต่ยุคมายา แอชแทค และอินคา โดยเฉพาะสาวๆ ที่รู้จักประทิน ความงามด้วยพืชธรรมชาติที่แสนวิเศษตัวนี้ จนในปัจจุบัน อะโวคาโดก็ยิ่งหาได้ไม่ยาก สาวๆ ทั่วโลกจึงสวย กันอย่างพร้อมหน้า หนึ่งในเคล็ดลับสำคัญคือการนำมาสะกัดน้ำมันเพื่อบำรุงผิว ลดการบวมของดวงตา ลดอาการผมร่วง และอีกมากมาย

ลองหยิบอะโวคาโดจากตู้เย็นมาสักลูกมาบำรุงดวงตา โดยการฝานออกเป็นแผ่นบางๆ แล้ววางบนเปลือก ตา ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที เท่านี้ก็รู้สึกสดชื่นขึ้นทันตาเห็น สำหรับเส้นผม ลองนำอะโวคาโดมาบดละเอียด ผสม ไข่แดง 1 ฟอง และน้ำมันมะกอกครึ่งช้อนชา หมักผมให้ทั่วแล้วล้างออก

ปิดท้ายด้วยเคล็ดลับสู่การเป็นเจ้าของมือเรียวสวย น่าสัมผัส โดยการนำอะโวคาโดเศษหนึ่งส่วนสี่ลูกมา บดหยาบๆ ผสมไข่ขาว 1 ฟอง ข้าวโอ๊ต 2 ช้อนชา และน้ำมะนาว 1 ช้อนชา จากนั้นนำมาสครับมือให้ทั่ว ล้าง ออกแล้วคุณจะได้มือนุ่มๆ เป็นผลลัพธ์

ชาดำ
ขยับชาเขียวที่วางอยู่ใกล้ตัวออกไปก่อน แล้วคว้าชาดำที่มีประโยชน์กับผิวพรรณ และสุขภาพมาบำรุง บำเรอตัวเองให้เต็มที่ เพราะชาดำมีสารแอนติออกซิแด้นท์สูง มีวิตามินอี และซีที่ช่วยลดเลือนริ้วรอย ทำให้ เป็นส่วนผสมสำคัญในเครื่องสำอางหลากหลายประเภท นอกจากนี้ยังช่วยลดการเผาไหม้ของแสงแดด ให้ ความชุ่มชื่นกับริมฝีปาก ลดการอาการบวมของเปลือกตา ให้กลิ่นหอมต่อเรียวเท้า และยังให้ความเงางามกับเส้นผม

วิธีเติมสวยด้วยชาดำทำได้ง่ายๆ สำหรับดวงตา นำถุงชาที่ใช้แล้วไปแช่ตู้เย็น เมื่อดวงตาเกิดการเหนื่อย ล้า ให้นำมาประคบบนเปลือกทิ้งไว้ข้างละ 10 – 20 นาที จะช่วยลดการบวมช้ำได้ดี ใครอยากได้คุณค่าชาดำ แบบเต็มๆ ให้นำน้ำชา (ที่เย็นแล้ว) มาล้างหน้าแทนน้ำเปล่า ส่วนใครอยากใช้แทนลิปโทนเนอร์ ให้เอาถุง ชาอุ่นๆ มาถูบริเวณริมฝีปาก ประมาณ 5 นาที จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นได้มาก ใครอยากได้เท้าหอมๆ ให้ล้าง เท้าด้วยน้ำชาแบบเข้มข้น ปิดท้ายด้วยการเพิ่มความเงางามให้เส้นผม ด้วยการนำน้ำชาแบบเข้มข้นมา ล้างแชมพูออกแทนน้ำเปล่า เท่านี้ก็สวยแบบไม่เสียสตางค์ได้ไม่ยาก

แอปเปิ้ล
คุณค่าของผลไม้มีมากมายเสียจนเลือกมานำเสนอไม่ถูก แอปเปิ้ลก็จัดว่ามีประโยชน์ต่อคุณค่าความงาม เช่นกัน (ไม่เช่นนั้น อีฟคงไม่เลือกเด็ดหรอกจริงมั้ย) โดยเฉพาะอัลฟา ไฮดรอกซีในผลแอปเปิ้ล ที่ช่วยให้ ผิวหน้าที่เหนื่อยล้ากระชับ และดูสดใสขึ้นทันตาเห็น ส่วนคนที่ผิวหน้าเริ่มหย่อนคล้อยก็ใช้ได้ผลดีเช่นกัน ทั้ง ยังทำให้ผิวที่ไหม้แดดกลับมาสดชื่นได้เหมือนเก่า

ใครอยากดูสดชื่นแบบลืมตื่น ให้นำผลแอปเปิ้ลคว้านไส้ครึ่งลูกมาปั่นละเอียด เติมน้ำผึ้งลงไป 2 ช้อนชา พร้อมเมล็ดสาคูครึ่งช้อนชา นำไปแช่เย็นประมาณ 10 นาที แล้วนำมามาสก์หน้า ระหว่างนั้นใช้ปลายนิ้วนวด ให้ทั่ว เพื่อกระตุ้นการทำงานของเส้นเลือด ทำไปเรื่อยๆ จนเนื้อแอปเปิ้ลแห้ง แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น อีกสูตรลับ คือ การถนอมผิวไหม้ ด้วยการขูดผลแอปเปิ้ลสด แล้วนำเนื้อที่ได้มาพอกบริเวณที่ไหม้ เนื้อแอปเปิ้ลจะช่วยลด อาการบวมแดง และลดการเกิดริ้วรอย ทิ้งไว้ประมาณ 10 – 20 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น เชื่อได้ว่าจะ ประทับใจกับผลลัพธ์แบบสุดๆ

ฟักทอง
เขึ้นชื่อว่าธรรมชาติก็ย่อมหมายถึงสิ่งที่ดีที่สุด ยิ่งคุณค่าจากฟักทองลูกนี้ด้วยแล้ว เชื่อว่าสาวๆ คงร้องว้าว ว่าสามารถประโคมสวยกันได้ด้วยหรือนี่ แต่ก็แน่ล่ะ ในเมื่อฟักทองอุดมไปด้วยวิตามินเอ ซี และสังกะสี มีหรือ ที่จะนำมาประทินผิวกับเขาไม่ได้ ที่สำคัญ ฟักทองสามารถนำมาทำป็นมาสก์ชั้นดี เหมาะที่สุดกับผิวแพ้ง่าย และผิวที่ถูกทำลาย เพราะคุณค่าจากวิตามินต่างๆ รวมทั้งมอยส์เจอไรเซอร์ในฟักทองจะช่วยทะนุถนอมให้ ผิวฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว

วิธีทำไม่ยากเลย ตัดเนื้อฟักทองมาต้มให้นิ่ม ทิ้งไว้จนเย็นแล้วผสมกับน้ำผึ้งครึ่งช้อนชา และผสมกับ นมวัวหรือนมถั่วเหลือง คนผิวแห้งเติมน้ำตาลทรายแดงอีกครึ่งช้อนชา ส่วนคนผิวมันเติมแอปเปิ้ล ไซเดอร์ครึ่งช้อนชา เสร็จแล้วนำมามาสก์หน้า ยกเว้นบริเวณรอบดวงตา ทิ้งไว้ประมาณ 10 – 15 นาทีแล้วล้าง ออก รับรองว่าคุณค่านานัปประการจะซึมซาบเข้าสู่ผิว รวมทั้งเป็นการสครับหน้าไปในตัว ทำให้ผิวชุ่มชื่น นุ่มนวล และกระชับขึ้น

แตงไทย
นอกจากรสชาติจะอร่อยหวานเย็นแล้ว แตงไทยยังมีสารสำคัญที่ช่วยลดเลือนริ้วรอย และยังอุดมด้วย วิตามินเอ บี และซี รวมทั้งน้ำตาลจากธรรมชาติอีกด้วย จึงไม่แปลกหากหลายคนจะนำเนื้อแตงไทยไปเสกสรร ความงาม รวมทั้งการบำบัดรักษาแบบธรรมชาติ เพราะฉะนั้นอย่ารอช้า รีบนำแตงไทยมาคว้านแล้วประทินผิว เป็นการด่วน (อย่าเผลอทำไป กินไปล่ะ)

นำเนื้อแตงมาปอกเปลือก แล้วคัดเฉพาะเนื้อมาครึ่งลูกปั่นละเอียด ผสมน้ำมะนาวและน้ำมัน มะกอกอีก 1 ช้อนชา จากนั้นคัดเฉพาะน้ำไปแช่เย็น เมื่อเย็นพอแล้วนำมาเขย่า ใช้สำลีชุบแล้วลูบไล้ให้ทั่วทั้ง ใบหน้าและลำคอ ปล่อยให้แห้งตามธรรมชาติ (เก็บไว้ใช้ได้ 2 วัน) แค่นี้ก็รู้สึกเย็นผิว และชุ่มชื่นไปทั้งวัน นอก จากนี้ ยังสามารถใช้ได้กับผิวที่ไหม้เสียจากแสงแดด ส่วนใครที่อยากเก็บไว้ใช้นานๆ (แต่อาจเสียความชุ่มชื่น จากแตงไปบ้าง) คือการผสมวอดก้าแบบ 100 พรู้ฟ หลังจากเติมน้ำมะนาว เท่านี้ก็เก็บไว้ได้นานถึง 2 สัปดาห์

    เกลือ
เกลือมีคุณค่ามากมายเสียจนกล่าวไม่หมด (ไม่งั้นคงไม่มีสงครามแย่งเกลือ จริงมั้ย?) ไม่ว่าคุณประโยชน์ ทางสุขภาพ เพื่อฟันขาว และผิวพรรณที่ผุดผ่อง เราเลยขอแนะนำเคล็ดลับที่คัดเลือกมาแล้วให้สาวๆ ได้สวย อย่างจุใจ เริ่มง่ายๆ จากการดีท็อกซ์ผิวพรรณด้วยการนำเกลือทะเลครึ่งถ้วย ผสมลงไปในอ่างอาบน้ำ แล้วขัด ตัวให้สะอาด หากทำบ่อยๆ จะช่วยให้ชำระล้างคราบที่หมักหมมได้ดียิ่งนัก ส่วนคนที่เซ็ตผมเป็นประจำ ให้นำ เกลือผสมน้ำ ฉีดให้ทั่วเส้นผมก่อนการเซ็ต จะช่วยให้ทรงผม และลอนสวย คงทนยาวนานไปทั้งวัน สำหรับ ฝ่าเท้า ให้นำน้ำเกลือมาล้างฝ่าเท้าเป็นประจำ จะช่วยลดกลิ่นที่กวนใจได้ดี หรือจะนำเกลือหยาบมาผสมน้ำมันมะกอกเพื่อสครับเรียวเท้า ก็ยังทำให้ดูนุ่มนวลน่าสัมผัสอีกด้วย

 ขอบตาดำ ทำอย่างไรดี
ดวงตาเป็นหน้าต่างของดวงใจ เป็นประโยคที่ได้ยินเป็นประจำ การที่เราจะมองใครคนหนึ่งว่าสวยหรือไม่ ตาก็เป็นจุดที่สำคัญจุดหนึ่ง ถ้าใครมีดวงตาที่ผ่องใส ผิวหนังรอบตาไม่มีมลทิน ก็ทำให้หน้าดูสวยไปแล้วครึ่งหนึ่ง แต่ถ้าใครมีปัญหาขอบตาคล้ำ ก็ทำให้ใบหน้าดูหมอง ไม่สดใส ความสวยงามก็ลดลงไปแล้ว ดังนั้น การรักษาผิวรอบดวงตาที่หมองคล้ำ ทำให้กลับมาสดใส จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น ปัญหาใต้ตาคล้ำ เป็นสิ่งที่พบได้บ่อยๆ ในคนไทย ก่อนจะมาถึงการรักษา ควรจะต้องทราบถึงสาเหตุเสียก่อน เพื่อให้การรักษาได้ผลดีขึ้น และเป็นการป้องกันไม่ให้รอยดำเป็นมากขึ้น

สาเหตุของขอบตาดำ มีอยู่ด้วยกันหลายสาเหตุ บางคนมีสาเหตุจากหลายๆ อย่าง

1.กรรมพันธุ์
ถ้าคนไทยมีขอบตาดำ แล้วลองหันไปมองญาติพี่น้อง พ่อแม่ของคุณดูว่าเป็นแบบเดียวกับที่คุณเป็นหรือไม่ ถ้าเป็นละก็ การรักษาและป้องกันอาจจะยาก

2.ภูมิแพ้ คนที่เป็นภูมิแพ้ จะพบว่าเส้นเลือดดำที่อยู่รอบตาจะขยายใหญ่มากกว่าคนทั่วไป และเส้นเลือดดำเหล่านี้นี่เองที่เป็นสาเหตุให้ขอบตาของคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ดูคล้ำกว่าคนทั่วไป

3.การระคายเคืองแถวๆ รอบตา เช่น การขยี้ตาบ่อยๆ เพราะการขยี้ตาจะกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสีให้เพิ่มจำนวนขึ้นบริเวณนั้น

4.แพ้ครีมทารอบดวงตา บางคนอาจแพ้สารบางอย่างในครีม ซึ่งไม่สามารถบอกได้ว่า ใครจะแพ้สารตัวใด ใครบ้างที่จะเป็น ถ้ารู้ว่าแพ้คงต้องหยุดการทาครีมดังกล่าว ถ้าไม่ทราบอาจต้องพึ่งการทดสอบว่าแพ้สารที่ต้องสงสัยหรือไม่

5.อดนอน สาเหตุนี้เป็นสาเหตุที่พบบ่อยในสภาพสังคมปัจจุบัน ใครที่รู้ตัวว่าอดนอนบ่อยๆ หรือนอนดึก ก็ขอให้นอนเร็วขึ้น เพื่อที่ขอบตาจะได้ดูสดใสกว่าเดิม

6.เป็นปานโอตะ ปานโอตะคือ เซลล์เม็ดสีที่อยู่ในชั้นหนังแท้ พบในบางคนที่มีความผิดปกติที่เซลล์สร้างเม็ดสีอยู่ผิดที่ ซึ่งมักพบบริเวณรอบๆ ตา โดยมากมักจะเป็นข้างเดียว แต่มีบางคนอาจเป็นได้ทั้ง 2 ข้าง ทำให้ขอบตาดูเขียวคล้ำ

ล้างหน้าอย่างไรให้หน้าใสกิ๊ง!
ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ คือ ประเภท Clean กับ Wash

คลีน คือผลิตภัณฑ์ที่ช่วยขจัดคราบสิ่งสกปรกและเมกอัพบนผิวให้หลุดออกไป

วอช ช่วยชะล้างทำความสะอาดผิวและรูขุมขนให้สะอาด ปราศจากน้ำมันตกค้างและการอุดตัน

หากไม่ได้แต่งหน้าใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทวอชก็เพียงพอแล้วค่ะ แต่เมื่อไรเริ่มใช้เครื่องสำอางค์แต่งหน้าควรใช้ประเภทคลีนเสียก่อนแล้วจึงตามด้วยวอช เพื่อให้ทำความสะอาดใบหน้าได้อย่างหมดจดเกลี้ยงเกลา

สิ่งสำคัญอีกอย่างคือ ต้องรู้ว่าผลิตภัณฑ์ชนิดไหนกันแน่เหมาะกับเรา ซึ่งตรงนี้สังเกตได้ง่ายๆจากลักษณะผิวหน้า เรามีแนวทางให้สาวได้อ่านกันค่ะ

Oily Skin –  ผิวมัน
ผิวมันมักจะเกิดสิวอุดตันและสิวอักเสบได้ง่าย ถ้าทำความสะอาดผิวไม่หมดจด หากคุณใช้เมกอัพ เช่น แป้งพัฟฟ์ รองพื้น บลัชออน ควรเลือกทำความสะอาดผวิหน้าชั้นที่ 1 ด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดประเภทเจลหรือโลชั่นเนื้อบางเบา ไม่เหนียวเหนอะหนะและไม่ทิ้งความมัน เช็ดเครื่องสำอางบนใบหน้าออกให้หมดเสียก่อน จากนั้นชั้นที่ 2 ให้ล้างหน้าด้วยสบู่เหลวสำหรับผิวมัน ที่จะช่วยต่อต้านเชื้อแบคทีเรียสาเหตุของสิวและช่วยควบคุมความมันไปในตัว

….อย่าเข้าใจผิว หลังล้างหน้าแล้วผิวหน้าไม่ควรแห้งตึงเปรี๊ยะ นั่งแสดงว่าคุณได้ล้างเอาความชุ่มชื่นตามธรรมชาติของผิวออกไปซะเกลี้ยง ทำให้ผิวหน้าขาดความสมดุล ระวัง หน้าจะแห้งเหี่ยวเร็วนะคะ

Normal Skin – ผิวธรรมดา
ผิวที่ไม่แห้งและมันเกินไปแบบนี้ ใครเป็นเจ้าของก็แสนจะโชคดี ผิวดีๆอย่างนี้ต้องหมั่นดูแลให้อยู่กับเราไปนานๆ เริ่มต้นที่การทำความสะอาดกันก่อน วันไหนแต่งหน้าคุณควรขจัดคราบเมกอัพออกจากผิวให้หมดจดเสียก่อน ด้วยการเลือกออยล์ที่ช่วยขจัดคราบเมกอัพได้รวดเร็วทันใจ ไม่เว้นแม้แต่เครื่องสำอางกันน้ำอย่างมาสคาร่าก็ยังกำจัดได้ง่ายดาย แต่หลังจากนั้นวควรล้างความมันออกไปด้วยผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ช่วยปรับสมดุลผิวให้คงความชุ่มชื้นอย่างเหมาะสม

วิธีตรวจสอบว่าผิวสะอาดหมดจดแล้วหรือยัง หลังล้างหน้าให้ใช้สำลีเปียกน้ำเล็กน้อยเช็ดลงบนใบหน้า เน้นช่วงไรผม ซอกจมูก แนวกรามและใต้คาง ถ้าสำลียังมีคราบเมกอัพอยู่ ให้ทำความสะอาดผิวหน้าซ้ำอีกครั้งอย่างเบามือ

Dry Skin – ผิวแห้ง
สาวผิวแห้ง ถ้ายิ่งล้างหน้าบ่อยและนาน ผิวก็จะยิ่งแห้งลอก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าถ้าไม่ล้างหน้าเลยหรือล้างน้อยๆจะดีกว่า เพราะแม้ผิวหน้าจะไม่มีน้ำมันตกค้าง แต่ก็มีสิ่งสกปรกจากฝุ่นละออง มลภาวะและเมกอัพได้เหมือนกัน สาวผิวแห้งจึงควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ขจัดคราบเมกอัพได้ง่ายดายและรวดเร็ว จะได้ไม่ต้องเช็ดถูใบหน้านานและล้างหน้าซ้ำหลายครั้ง และถ้าเลือกแบบที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์เข้มข้นก็จะช่วยลดอาการแห้งตึงไดดี สุดท้ายล้างผิวหน้าให้สะอาดอีกครั้งด้วยครีมโฟมล้างหน้าที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว

สาวผิวแห้งไม่ควรล้างหน้าเกินวันละสองครั้ง คือเช้าและเย้น แต่ถ้าหลังตื่นนอนตอนเช้าผิวหน้าเกลี้ยงไม่มีน้ำมันตกค้าง แค่ล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าอย่างเดียวก็พอแล้วค่ะ

Sensitive Skin – ผิวแพ้ง่าย
ค่อนข้างเหนื่อยใจสำหรับสาวผิวแพ้ง่าย เพราะต้องระมัดระวังกับการใช้ผลิตภัณฑ์ต่างๆอยู่ตลอดเวลา แต่จะกลัวอะไร เดี๋ยวนี้เขามีผลิตภัณฑ์สำหรับผิวบอบบางแพ้ง่ายให้ใช้ตั้งเยอะแล้ว จริงๆแล้วสาวผิวแพ้ง่ายก็ไม่ควรแต่งหน้าจัดหรือใช้เครื่องสำอางมากหน้าหลายตาอยู่แล้ว เพราะเสี่ยงกับภาวะผื่นตุ่มสิวอันไม่พึงประสงค์ รวมถึงอาการรุนแรงอื่นๆเมื่อต้องการทำความสะอาดใบหน้าก็ควรทำอย่างเบามือ ใช้ผลิตภัณฑ์ให้น้อยชิ้นที่สุดและรีบจบขึ้นตอนให้เร็วที่สุด ตลอดจนเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เนื้อบางเบาที่ปราศจากน้ำหอมจะดีที่สุดค่ะ

สาวผิวเซนซิทีฟควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าที่ต้องใช้สำลีหรือกระดาษทิชชูเช็ดผิว เพราะจะทำให้ระคายเคืองได้ง่ายและพยายามสัมผัสผิวหน้าให้น้อยที่สุด

จัดการสิวอย่างถูกวิธี
สาเหตุสิว
หากการทำงานของฮอร์โมนผิดปกติจะส่งผลให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป และเร่งการหลุดลอกของเซลล์ผิวบริเวณผิวชั้นบน และในรูขุมขนซึ่งสิ่งตกค้างเหล่านี้จะขัดขวางทางเดินของต่อมไขมัน และอุดตันรูขุมขนด้วย ซึ่งสภาพแบบนี้ช่วยให้แบคทีเรียชนิดโปรฟิโอแบคทีเรีย แอ็คเน่ส์ที่แอบอยู่ในต่อมไขมันเจริญเติบโต และก่อให้เกิดตุ่มอักเสบระคายเคือง หรือสิวนั่นเอง และอีกเหตุผลที่ไม่น่าเป็นไปได้ แต่ก็ทำให้เกิดสิวได้ก็คือ การระคายเคืองและการแพ้เครื่องสำอาง หรือยาและอาหารบางชนิด (แต่ก็ยังไม่มีงานวิจัยที่ยืนยันว่า อาหารใดก่อให้เกิดสิว)

ทำไมหัวขาว ทำไมหัวดำ
น้ำมันส่วนเกิน และเซลล์ผิวเก่าที่มีมากผิดปกติจะรวมตัวกันเป็นสารสีขาวนิ่มๆอุดรูขุมขนไว้ ถ้าส่วนบนของรูขุมขนถูกปิดด้วยผิว ก็จะเรียกว่า สิวหัวขาว (Whitehead/Milia) ถ้าไม่มีอะไรขวางรูขุมขน ส่วนบนของสารขาวๆที่ก่อตัวจะถูกอากาศจนกลายเป็นสีดำ เรียกว่า สิวหัวดำ (Blackhead) สิวหัวขาวและหัวดำจะกลายเป็นสิวอักเสบเมื่อแบคทีเรียเติบโตในส่วนที่อุดตัน การอักเสบและน้ำมันส่วนเกินจะทำให้กำแพงของต่อมไขมันรั่ว และน้ำมัน เซลล์ผิวเก่า แบคทีเรียจะกระจายตัวไปทั่วเนื้อเยื่อผิวโดยรอบ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจึงต้องเข้าไปต่อสู้ซ่อมแซมผิว จึงทำให้บวมเป็นตุ่มสิวอย่างที่เห็น

วิธีปราบสิว
ถ้ามัวแต่แก้ไขเฉพาะสิวที่เห็นภายนอกโดยไม่สนใจรักษาที่ต้นเหตุซึ่งอยู่ใต้ผิวหนัง การรักษาใดๆก็ไม่ได้ผล เช่นใช้ผลิตภัณฑ์ทำให้หัวสิวแห้งเพียงอย่างเดียว ซึ่งนอกจากสิวจะไม่ยุบและไม่สามารถดูดซับความมันบนหัวสิวแล้วยังระคายผิว และอาจก่อให้เกิดแผลเป็นอีกด้วย ฉะนั้น วิธีปราบสิวที่ดีที่สุดคือ การขัดผิวเพื่อลดการสะสมตัวของเซลล์ผิวที่ตายทั้งบนผิวและในรูขุมขน การฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว การดูดซับความมันและสร้างสมดุลให้กับฮอร์โมนของร่างกายเพื่อควบคุมการผลิตน้ำมัน

ล้างหน้า : ควรใช้เคลนเซอร์ที่ละลายน้ำและไม่ผสมสารที่ทำให้ระคายผิว เช่น สบู่ สครับ เพื่อเลี่ยงการกระตุ้นต่อมไขมัน ลดการอักเสบของผิว และความแห้งกร้าน ส่วนเคลนเซอร์ที่ผสมสารขัดลอกเซลล์ผิว สารยับยั้งเชื้อแบคทีเรียหรือดูดซับน้ำมันส่วนเกินจะไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ เนื่องจากก่อนที่สารเหล่านี้จะออกฤทธิ์คุณก็ล้างออกเสียแล้ว

ขจัดเซลล์ผิว : เพราะสิวเกิดขึ้นภายในรูขุมขน และเกี่ยวข้องกับการผลิตน้ำมัน ดังนั้น ผลิตภัณฑ์ที่ผสมกรดซาลิไซลิกซึ่งละลายในไขมัน จึงสามารถเข้าขัดลอกเซลล์ผิวเก่าในรูขุมขนได้อย่างอ่อนโยน แนะนำให้ใช้ประเภทเจลหรือโลชั่นเนื้อเบาๆ ซึ่งไม่ผสมสารสร้างความหนืดหรือสารให้ความชุ่มชื่นอันจะอุดตันรูขุมขน ส่วนสครับหรือกรด AHA มักไม่ค่อยได้ผล เนื่องจากตัวช่วยขัดลอกเซลล์ผิวเฉพาะภายนอก ไม่สามารถลงลึกถึงรูขุมขนได้

ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย : แอลกอฮอล์หรือซัลเฟอร์เป็นสารฆ่าเชื้อที่ดีแต่ทำให้ผิวแห้งและระคายจนทำให้เกิดสิวใหม่ คุณจึงควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผสมน้ำมีทีทรีหรือเบนซอยล์เพอร๊อกไซด์ ที่มีความเข้มข้นประมาณ 2.5% 5% หรือ 10% ส่วนการกินยาแอนตี้บอดี้สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียซึ่งก่อสิวได้จริง แต่จะทำลายแบคทีเรียตัวที่เป็นประโยชน์แก่ร่างกายไปด้วย

เพิ่มการสร้างเซลล์ผิว : คุณหมออาจใช้สารจำพวกเตรตินอยน์ ดิเฟอรีนและกรดอะเซลาอิก ซึ่งช่วยให้เจริญเติบโตได้ดี จนสามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างของรูขุมขน และช่วยให้การขับน้ำมันสะดวกราบรื่น

ที่พึ่งสุดท้าย : ถ้าหากสิวยังคงอยู่ทนแม้คุณจะทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ทุกรูปแบบแล้วก็ตาม คุณก็ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนัง เพราะยังมียารับประทานอีกตัวหนึ่งซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกแล้วว่าสามารถรักษาสิวได้ผลดีเยี่ยม นั่นก็คืออัคคูเทน ซึ่งเป็นวิตามินเอปริมาณสูง มักใช้ในกรณีที่เกิดสิวรุนแรงและยังช่วยทำให้ผิวเนียนกระชับสวยขึ้นด้วย แต่ยาตัวนี้ควรเป็นทางเลือกสุดท้ายจริงๆและต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากยานี้มีผลข้างเคียงที่ค่อนข้างรุนแรง เช่น ก่อให้เกิดความผิดปกติในการตั้งครรภ์และปัญหาทางจิต

 สูตรสวยด้วย “น้ำผึ้ง”
พอกหน้าดีจริงหรือ?
บางคนอาจสงสัยอยู่ว่า ทำไมต้องคะยั้นคะยอให้วัยรุ่นอย่างเรา ๆ ต้องมานั่งพอกหน้าด้วยล่ะ ก็เพราะการพอกหน้า เป็นเรื่องดีเยี่ยม จะช่วยทำให้การหมุนเวียนโลหิตดีขึ้น ทำให้สีผิวดีขึ้นทั้งยังขจัดน้ำมัน รอยสกปรกและเซลล์ที่ตายแล้วออกไปด้วย

การพอกหน้าหรือการนวดหน้านั้น นอกจากจะทำให้ใบหน้าดูดีขึ้นแล้ว ยังเป็นการพักผ่อนที่ดีอีกด้วย ยิ่งได้สูตรพอกหน้า ที่มาจากธรรมชาติด้วยแล้ว จะยิ่งทำให้ผิวพรรณ ได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่ และเสี่ยงต่อการแพ้ได้น้อยกว่าอีกด้วย

แล้วทำไมต้องเป็นน้ำผึ้งด้วยล่ะ?
จริง ๆ แล้วสมุนไพรต่าง ๆ สามารถนำมาใช้พอกหน้าได้ทั้งนั้นล่ะค่ะ แต่น้ำผึ้งเนี่ยนิยมมากที่สุด ที่จะใช้เป็นส่วนผสมของครีมพอกหน้า เพราะนอกจากจะหาซื้อได้ง่ายแล้ว น้ำผึ้งยังเป็นสิ่งที่ใช้ล้างหน้า และให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนังได้ดี และยังช่วยทำความสะอาดรูขุมขน บนใบหน้า จนสามารถรู้สึกได้ว่า หน้าตึงอ่อนนุ่มและช่วยขจัดรอยสิวเสี้ยนดำ ๆ ด้วยค่ะ

ทีนี้มาดูกันเลยค่ะว่า เจ้าน้ำผึ้งขวดเดียวเนี่ย มันสามารถนำมาเป็นสูตรพอกหน้าได้กี่รูปแบบ แต่ขอแนะนำเลยค่ะว่าทุกสูตรที่นำมาเสนอนี้ เพื่อน ๆ สามารถนำมาพอกหน้าได้ตามสบาย แล้วแต่ใครจะเลือกชอบสูตรไหน แต่ต้องอย่าลืม ทำความสะอาดใบหน้าก่อนทำนะคะ

สวยด้วยน้ำผึ้งกับกล้วยหอม
ส่วนผสม
กล้วยหอมครึ่งผล น้ำผึ้งแท้ 2-3 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ นำกล้วยหอมมาปั่นหรือบด รวมกับน้ำผึ้งแท้จนละเอียด รวมเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำมาพอกหน้าโดยพอกทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะรู้สึกว่าผิวหน้าดูนุ่มนวลและสดใสขึ้น

เชื่อหรือไม่ : เชื่อเถอะค่ะว่าสูตรนี้เหมาะกับสาวผิวแห้งเป็นอย่างยิ่ง โดยมีเคล็ดลับการพอกหน้าสูตรนี้อยู่ว่าให้ทาบาง ๆ เบา ๆ เป็นวงกลมให้ทั่วหน้า แต่ไม่แตะต้องบริเวณผิวบอบบางรอบดวงตา จะช่วยให้ผิวที่แห้งเป็นขุยกลับนุ่มชุ่มชื้นขึ้นเยอะเลยค่ะ

ไข่กับน้ำผึ้ง
ส่วนผสม
ไข่แดง 1 ฟอง, น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา

วิธีทำ นำไข่แดงมาผสมกับน้ำผึ้งตามอัตราส่วนดังกล่าว แต่ถ้ามีปริมาณความเข้มข้นของส่วนผสมมากเกินไปก็เติมน้ำลงไปอีก 2-3 หยด แล้วจึงนำมาพอกหน้าและทิ้งไว้ 15 นาที จากนั้นใช้น้ำอุ่น ๆ ล้างหน้าให้สะอาด อ้อ! อย่าลืมทาบริเวณคอด้วยล่ะ

เชื่อหรือไม่ : ขอบอกเลยค่ะว่าสูตรนี้เนี่ยเหมาะสมมาก สำหรับสาวที่มีผิวแห้งถึงแห้งมากที่สุด เพราะคุณค่าของโปรตีนจากไข่แดง เมื่อนำมาผสมกับน้ำผึ้ง มันจะช่วยให้ผิวหน้าไม่แห้งตึง พร้อมกับมีความยืดหยุ่นดีขึ้นอีกต่างหาก

แอปเปิ้ลกับน้ำผึ้ง
ส่วนผสม
แอปเปิ้ลผลไม้ใหญ่นัก 1 ลูก, น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ, นมพร่องไขมัน 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ นำแอปเปิ้ลมาใส่เครื่องปั่น เหยาะน้ำผึ้งกับนมพร่องไขมัน แล้วใช้ส่วนผสมนี้ นวดให้ทั่วใบหน้าและทิ้งไว้ 20 นาที จากนั้นใช้น้ำอุ่นล้างออกให้หมด

เชื่อหรือไม่ : สำหรับสูตรที่ 3 นี้สามารถช่วยให้สาวผิวผสมที่มีรูปขุมขนกว้าง กลับมีผิวหน้าที่กระชับและเนียนเรียบขึ้น

มะนาวกับน้ำผึ้ง
ส่วนผสม
มะนาว 1 ผล, น้ำผึ้งแท้ 2-3 ช้อนโต๊ะ, น้ำเดือด 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ ละลายน้ำผึ้งในน้ำเดือด จากน้ำเติมมะนาวลงไป ผสมเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน ทาบาง ๆ ทั่วใบหน้าโดยทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

เชื่อหรือไม่ : เชื่อมั๊ยค่ะว่าสูตรนี้เหมาะกับสาวผิวผสมมากค่ะ และที่สำคัญมันจะทำให้ผิวหน้าขาวเนียนสดใสและเต่งตึงขึ้นทันตาเห็นเลยค่ะ

ส้มกับน้ำผึ้ง
ส่วนผสม
ส้ม 1 ผล, น้ำผึ้งแท้ 2-3 ช้อนโต๊ะ, ดินสอพอง 3 เม็ด

วิธีทำ นำดินสอพองมาบดให้ละเอียด เติมน้ำส้มคั้นและน้ำผึ้งแท้ลงไป คนจนรวมเป็นเนื้อเดียวกันแล้วนำมาพอกหน้าโดยพอกทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาดจะรู้สึกถึงความเปล่งปลั่งและนุ่มนวลของใบหน้า จะรู้สึกว่าผิวหน้าชุ่มชื้นและนวลเนียนสดใส

เชื่อหรือไม่ : เมื่อล้างหน้าออกจนหมดแล้วสิ่งที่ผิวของเพื่อน ๆ จะได้รับก็คือความนุ่มนวลแลดูสดใสเปล่งปลั่งของใบหน้า และถ้าให้ดีขึ้นไปอีกลองทำครีมพอกหน้าสูตรนี้ไว้ใช้เป็นประจำสิคะ รับรองว่าผิวพรรณจะชุ่มชื่นและนวลเนียนสดใสจนเป็นสีชมพูเชียวล่ะ

แครอทกับน้ำผึ้ง
ส่วนผสม
แครอท 1 หัวเล็ก, น้ำผึ้งแท้ 2-3 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ นำแครอทมาล้างน้ำให้สะอาดและหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ปั่นรวมกับน้ำผึ้งแท้จนละเอียดรวมเป็นเนื้อเดียวกัน นำมาพอกหน้าโดยพอกทิ้งไว้ 15-20 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด

เชื่อหรือไม่ : สูตรเนี๊ยะนะคะถ้าได้ทำเป็นประจำ จะช่วยลดรอยแผลเป็นและจุดด่างดำต่าง ๆ บนใบหน้าให้เกลี้ยงเนียนใส อีกทั้งยังช่วยให้ผิวพรรณไร้รอยหมองคล้ำ และทำให้ผิวหน้าขาวกว่าเดิมด้วยค่ะ

  ผิวสวยก่อนมีรอบเดือน
ระบบฮอร์โมนในร่างกายเราจะเริ่มเมื่อมีประจำเดือนเป็นวันแรกจนถึงวันสุดท้าย กินเวลาได้ตั้งแต่ 21-40 วัน วงจรการผลิต(ตก)ไข่ คือ เมื่อเกิดการตกไข่และรอการผสมจนกระทั่งฝ่อไป จะเกิดขึ้นในช่วงหรือประมาณวันที่ 14 ของรอบเดือน ช่วงสัปดาห์แรกหลังจากหมดประจำเดือนครั้งสุดท้าย ฮอร์โมนเอสโทรเจนจะเพิ่มสูงขึ้น ทำให้มีแนวโน้มที่จะเกิดสิวได้สูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันก่อนมีรอบเดือนจะมีโอกาสมากที่สุดที่จะมีผิวที่มันเยิ้มและเป็นสิวค่ะ

สิ่งที่ควรมองหา…
สิ่งบ่งบอกถึงปัญหาผิวที่เกิดจากระบบฮอร์โมนคือ..
 มักมีสิวเกิดขึ้นในช่วงอาทิตย์ก่อนจะมีรอบเดือนและมีสิวขึ้นมากบริเวณขากรรไกร คางและคอ
 ผิวจะเซ้นส์ซิทีฟมากในระหว่างช่วงอาทิตย์ที่ 4 ของระบบรอบเดือน ช่วงนี้ควรงดการแว๊กซ์ขนและนวดหน้าอย่างยิ่ง
 มักจะมีรอบเดือนที่ไม่สม่ำเสมอและ/หรือมีขนขึ้นมากผิดปกติบนใบหน้าหรือบนร่างกายร่วมกับการเกิดสิว อาการนี้อาจเกิดจากระบบฮอร์โมน

แก้ไขแบบง่ายๆ
1. เลือกเคลนเซอร์ทำความสะอาดผิวอย่างฉลาด เมื่อใดที่ผิวอยู่ในสภาพย่ำแย่มากๆให้เลือกใช้เคลนเซอร์ที่มีประสิทธิภาพช่วยละลายการอุดตันของรูขุมขนอย่างที่มีส่วนผสมของ salicylic acid
2. เพิ่มขั้นตอนผลัดผิวที่อ่อนโยนเข้าไปในกิจวัตรประจำวัน ทำอาทิตย์ละ 1-2 ครั้งเป็นประจำเพื่อช่วยทำให้เซลล์เสื่อมสภาพที่เข้าไปอุดตันในรูขุมขนและกักเก็บน้ำมันส่วนเกิน (ที่ทำให้เกิดสิวอุดตัน) หลุดออกมาได้ง่ายขึ้น
3. ถึงผิวจะมันก็ไม่ควรมองข้ามขั้นตอนการบำรุงผิวด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์ แต่เลือกชนิดที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน (oil-free) และไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (noncomedongenic)
4. ใช้ผลิตภัณฑ์แต้มสิวที่ได้ผล

โปรแกรมดูแลผิว เพื่อแก้ปัญหาสิวก่อนรอบเดือน

ช่วงประจำเดือนมาอาทิตย์ที่ 1

สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ก็คือ ระดับฮอร์โมนในร่างกายจะลดต่ำลงอย่างฉับพลันในระหว่างเดือน ทำให้ผิวพรรณฟื้นตัวจากอาการสิวเห่อก่อนรอบเดือนและทำให้ผิวดูหมองกว่าที่เคย

สิ่งที่ควรทำ ก็คือการดูแลผิวที่สม่ำเสมอและอ่อนโยนเป็นพิเศษ เลือกกิจวัตรทำความสะอาดผิวที่อ่อนโยน
 ใช้เคลนเซอร์ที่ไม่ทำร้ายผิวมากจนเกินไป แค่ปลายนิ้วก็เพียงพอแล้วที่จะนวดผิวในขณะทำความสะอาด ด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่ช่วยปลอบประโลมผิว อย่างอะโลเวร่าหรือชาเขียว
 บำรุงผิวด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์หรือมาส์กผลัดผิวเพื่อช่วยให้ผิวฟื้นตัวจากการหลุดลอกและช่วยพลิกฟื้นผิวที่หม่นหมองให้ดูสดใสขึ้น ทิ้งมาส์กไว้บนผิวหน้าประมาณ 10 นาที
 เลือกใช้ผลิตภัณฑ์แต้มสิว สำหรับสิวที่เหลืออยู่ ซึ่งมีส่วนผสมของสารที่ช่วยลดการอุดตันของรูขุมขนอย่าง salicylic acid หรือมีคุณสมบัติช่วยฆ่าแบคทีเรียอย่าง benzoyl peroxide
 ปกปิดสิวที่ยังไม่หายด้วยคอนซีลเลอร์ชนิดไม่มีส่วนผสมของน้ำมันซึ่งมีส่วนผสมช่วยกำราบสิวอย่าง salicylic acid หรือ sulfur

อาทิตย์หลังการมีประจำเดือนอาทิตย์ที่ 2

ในช่วงนี้ ระดับฮอร์โมนแอสโทรเจนในร่างกายจะลดต่ำลงอย่างถึงที่สุด และฮอร์โมนอีกตัวในร่างกายคือโปรเจสเตอโรนพุ่งขึ้นสูง การที่ระดับฮอร์โมนเกกิดการผันผวนนี้ทำให้ผิวมันและเกิดสิวได้

สิ่งที่ควรทำ คือการรักษาสภาพผิวและการป้องกันในช่วงนี้ถึงแม้ว่าผิวจะยังดูดีอยู่ก็ไม่ควรปล่อยปละละเลยนะคะ
 ล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง และทำความสะอาดคราบเครื่องสำอางให้สะอาดหมดจดทุกครั้งหลังแต่งหน้าและก่อนเข้านอน ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวชนิดเดิมที่ใช้อาทิตย์แรก ช่วงนี้เน้นความสะอาดของผิวพรรณ
 ผลัดผิว โดยเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดผิวจากสารเคมีที่ช่วยส่งเสริมการผลัดผิวตามธรรมชาติ เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ กรดไกลโคลิก กรดแลคติกหรือกรดซาลิไซลิก
 นัดทรีทเมนท์ผิวหน้า เพราะเวลานี้ผิวจะไม่เซ้นส์ซิทีฟมากจึงเป็นช่วงที่เหมาะจะดูแลผิวหน้าด้วยการนวดหรือทรีทเมนต์ต่างๆ

ช่วงไข่ตก อาทิตย์ที่ 3

ช่วงนี้ จะเป็นช่วงที่ผิวดูดีและเนียนใสที่สุดของเดือน ต้องขอบคุณการเพิ่มของระดับฮอร์โมนแอสโทรเจน (เอสโทรเจนช่วยรักษาระดับน้ำมันบนผิว)

สิ่งที่ควรทำ ใช้ผลิตภัณฑ์กำราบสิวและการผลัดเซลล์ผิว ช่วงนี้ล่ะควรเริ่มใช้ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสิวได้แล้วเป็นประจำทุกวันจนกระทั่งเริ่มมีประจำเดือน
 เริ่มปรับเปลี่ยนวิธีการทำความสะอาดผิว โดยทำความสะอาดผิวทั้งเช้าและเย็น แต่หากว่ามีผิวที่มันมาก ให้เพิ่มการใช้โทนเนอร์ที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์หลังการล้างหน้าเพื่อทำความสะอาดรูขุมขนอย่างล้ำลึก (แต่หากว่าผิวแห้งมากๆก็ควรเว้นากรใช้โทนเนอร์) แล้วลองใช้มาส์กพอกผิวที่ช่วยลดการเกิดสิวสำหรับอาทิตย์นี
 ดูแลผิวช่วงก่อนนอนด้วยผลิตภัณฑ์ที่ป้องกันการเกิดสิว เลือกที่มีส่วนผสมของซาลิไซลิก แอซิด ไกลโคลิก แอซิด เพอร์รอกไซด์และที ทรี ออยล์
 ใช้กระดาษซับความมัน ในช่วงอาทิตย์นี้และอาทิตย์ถัดไป พกพาเอาไว้ติดตัวเพื่อซับเอาน้ำมันออกจากผิว
อาทิตย์ช่วงก่อนเริ่มมีประจำเดือน อาทิตย์ที่ 4

ช่วงนี้ระดับฮอร์โมนโปรเจสเทอโรนยังเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ฮอร์โมนเอสโทรเจนตกฮวบลง ช่วงนี้ล่ะบรรดาสิวทุกรูปแบบจะเริ่มปรากฎ ผิวจะมีความมันที่สุด

สิ่งที่ควรทำ อ่อนโยนกับผิวพรรณให้มาก พยายามหลีกเลี่ยงการเกิดบาดแผลบนผิว เช่นการแว๊กซ์ขน การทำเลเซอร์ การขัดผิวและทรีทเมนต์หน้าแบบต่างๆ ผู้หญิงหลายคนจะพบว่าการทำทรีทเมนต์ผิวแบบใดก็ตามในช่วงนี้จะรู้สึกเซ้นส์ซิทีฟมาก
 ดูแลผิวบริเวณที่เป็นสิวทั้งเช้าและเย็น(ก่อนนอน) ด้วยผลิตภัณฑ์แต้มสิว เพิ่มเข้าไปในขั้นตอนการทำความสะอาดวันละ 2 ครั้งทุกวัน
 ใช้มาส์กพอกผิวสำหรับสิวอย่างน้อย 2 ครั้งในช่วงอาทิตย์นี้ เพื่อชวดลดการอุดตันรูขุมขน มองหาส่วนผสมที่จะช่วยทำให้สิวแห้งเร็ว คือ sulfur
 อำพรางรอยสิวด้วยเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของซาลิไซลิก แอซิด แล้วเลือกชนิดที่บอกว่าไม่ก่อให้เกิดการอุดตันรูขุมขน

ครั้งต่อไปที่จะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สำหรับผิวหน้า อย่าลืมดูส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ด้วยนะคะ

ขั้นตอนการเกิดสิว!!! (เพื่อความรู้นะจ๊ะ)
1. เมื่อร่างกายเริ่มผลิตฮอร์โมนแอนโดรเจน มักเกิดขึ้นในช่วงก่อน/หลังมีประจำเดือน ซึ่งจะกระตุ้นให้ต่อมไขมันใต้ผิวขยายใหญ่ขึ้น
2. เมื่อต่อมไขมันถูกขยายใหญ่ขึ้น ซึ่งจริงๆแล้วน้ำมันนี้จะเป็นมอยส์เจอร์ไรเซอร์ตามธรรมชาติของผิว แต่เมือ่ถูกผลิตออกมามากเกินไป ยิ่งซ้ำร้ายหากในขณะที่ทำกลังเดินทางจากต่อมไขมันสู่ปากรูขุมขน เกิดไปผสมเข้ากับแบคทีเรียและเซลล์ผิวที่ตายแล้วซึ่งอยู่ในรูขุมขน ทำให้เกิดการเข้มข้นเป็นพิเศษจึงเกิดการอุดตันรูขุมขน อันเป็นสาเหตุของการเกิดสิว
3. ตามปกติ เซลล์ที่ตายแล้วในรูขุมขนจะค่อยๆถูกกำจัดออกสู่ปากรูขุมขนโดยน้ำมันหรือเหงื่อ แต่เมื่อฮอร์โมนแอนโดรเจนกระตุ้นให้ต่อมไขมันใหญ่ขึ้นและผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น เซลล์ผิวหนังในรูขุมขนก็จะผลิตและตายเร็วขึ้นด้วย เมื่อมีเซลล์ที่ตายอยู่มาก ก็จะเกิดการอุดตันในรูขุมขนมากขึ้นเป็นทวีคูณ
4. เมื่อรูขุมขนเกิดอุดตัน บวกเข้ากับเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งปกติแล้วก็อาศัยอยู่ตามผิวหนังและรูขุมขน แต่เมื่อเกิดการอุดตัน เจ้าเชื้อแบคทีเรียตัวนี้ซึ่งไม่ชอบออกซิเจน ก็จะแบ่งตัวได้อย่างรวดเร็วผิดปกติ จนเกิดเป็นสาเหตุของการอักเสบในรูขุมขนขึ้น
5. เมื่อเกิดการอักเสบขึ้นแล้ว เม็ดเลือดขาวในร่างกายก็จะส่งมาเพื่อฆ่าแบคทีเรียนี้ ตอนนี้นั่งเอาที่ทำให้สิวเกิดเป็นตุ่มแดง บวม เจ็บ และเกิดเป็นหัวหนองในที่สุดที่

    สูตรเด็ดเคล็ดหน้าสวย
ลองจัดเวลาพอกหน้าโดยใช้สูตรผลไม้สัปดาห์ละหนึ่งครั้งอย่างสม่ำเสมอสักระยะหนึ่ง คุณจะรู้สึกได้ถึงความแตกต่าง

สับปะรด คั้นสับปะรดสดๆเอาแต่น้ำมาชโลมพอกทาหน้า ทิ้งไว้ 20 นาที (ยกเว้นรอบดวงตาและริมฝีปาก) เหมาะกับผู้ที่มีใบหน้ามัน อีกทั้งน้ำสับปะรดจะช่วยลดเลือนจุดด่างดำและริ้วรอยต่างๆ

แอปเปิ้ล ปั้นเนื้อแอปเปิ้ลให้ข้น หรือฝานเป็นชิ้นบางๆนำมาวางแปะให้ทั่วหน้าหรือพอกทิ้งไว้ 20 นาที (ยกเว้นรอบดวงตาและริมฝีปาก) เหมาะกับสาวผิวแห้ง เพราะแอปเปิ้ลให้ความชุ่มชื้นกับใบหน้า ผู้ที่ต้องตากแดดตากลมบ่อยๆ ควรบำรุงผิวหน้าด้วยสูตรนี้

สตรอเบอร์รี่ ปั่นสตรอเบอร์รี่ประมาณ 15-20 ลูก หรือใช้ส้อมยีให้ละเอียด แล้วนำมาพอกหน้า (ยกเว้นรอบดวงตาและริมฝีปาก) ทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด ทำสัปดาห์ละครั้ง จะช่วยให้ใบหน้าชุ่มชื้น ไม่แห้งกร้าน ผิวหน้าขาวขึ้น นวลเนียน ช่วยลดเลือนริ้วรอยและจุดด่างดำ

มะละกอสุก (ผสมแป้งข้าวโพด) คัดเมล็ดทิ้ง ปั่นหรือยีให้เละด้วยส้อม แล้วพอกหน้าทิ้งไว้ 15-20 นาที (ยกเว้นรอบดวงตาและริมฝีปาก) จะช่วยให้ผิวหน้าที่แห้งแตกเป็นขุยๆ มีความนุ่มนวลและชุ่มชื้นขึ้น

มะนาว นำเปลือกมะนาวที่บีบน้ำออกแล้ว ถูคลึงเบาๆให้ทั่วใบหน้า (ยกเว้นรอบดวงตาและริมฝีปาก) จะช่วยลดความมัน ขจัดสิวเสี้ยน และช่วยให้ใบหน้าขาวนวล

มะเขือเทศ ฝานบางๆหรือปั่นละเอียด วางให้ทั่วใบหน้าหรือพอกทิ้งไว้ 20 นาที (ยกเว้นรอบดวงตาและริมฝีปาก) จะช่วยขจัดริ้วรอยบนใบหน้า ช่วยให้ใบหน้าขาวเนียนผุดผ่อง (ทำสัปดาห์ละครั้ง)

6 สูตรสวยด้วยมันฝรั่ง

1. ผิวกระชับ
มาส์กหน้าด้วยมันฝรั่ง
 มันฝรั่งป่น 2 ช้อนโต๊ะ
 น้ำอุ่น
1. เทน้ำอุ่นช้าๆลงในถ้วยที่ใส่มันฝรั่งป่นและคนให้เข้ากันจนข้น
2. ก่อนมาส์กหน้าให้ใช้ครีม หรือน้ำมันเบบี้ออยล์เล็กน้อยทาใบหน้าบางเบาให้ทั่ว จากนั้นใช้พู่กันจุ่มมันฝรั่งข้นทาทั้งใบหน้าและลำคอ (ยกเว้นรอบดวงตาและลำคอด้านหลัง)
3. ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที ใช้ผ้าอุ่นชื้นประคบใบหน้าให้มาส์กอ่อนตัว(จนกว่ามันฝรั่งจะนิ่ม)แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น
ข้อแนะนำ การมาส์กหน้าด้วยมันฝรั่งป่นจะช่วยกระชับรูขุมขน ทำให้เลือดไหลเวียนดีและทำให้ผิวกระชับเต่งตึง แต่จะทำให้ผิวแห้ง ดังนั้นจึงไม่ควรมาส์กหน้าด้วยมันฝรั่งบ่อยเกินไป

2. ผิวชุ่มชื้น
มันฝรั่งและนม
 น้ำมันฝรั่งต้ม 4 ช้อนโต๊ะ
 นม 140 มิลลิกรัม
1. ต้มมันฝรั่งเล็กน้อย แล้วกรองน้ำที่ได้จากมันฝรั่งต้ม 4 ช้อนโต๊ะ เมื่อน้ำได้จากมันฝรั่งต้มเย็นตัวลง ให้ใส่นมลงไปคนให้เข้ากัน จากนั้นเก็บใส่ขวดไว้ในตู้เย็น เมื่อนำมาใช้ให้เขย่าขวดก่อนทุกครั้ง
2. ใช้ทาหน้าด้วยการนวดเบาๆเป็นวงกลม ทิ้งไว้สักครู่แล้วใช้ผ้าซับออก

3. ทำความสะอาดผิว
อัลมอนด์ เนยและมันฝรั่ง
 สบู่ป่น 2 ช้อนชา
 น้ำมันอัลมอนด์ 8 ช้อนโต๊ะ เนย 2 ช้อนชา
 น้ำต้มมันฝรั่งที่กรองแล้ว 2 ช้อนชา
1. นำสบู่และน้ำมันอัลมอนด์ใส่ถ้วย และอุ่นในน้ำร้อนจนผสมเข้ากัน จากนั้นใส่เนยลงไปคนและตามด้วยน้ำต้มมันฝรั่ง
2. นำออกมาจากเตาและคนต่อไปอีก จนกระทั่งส่วนผสมที่ได้เย็นตัวลง เก็บใส่ขวดไว้
3. นำครีมที่ได้ใช้ทำความสะอาดใบหน้าเหมือนโลชั่น นวดใบหน้าเบาๆเป็นวงกลม ทิ้งไว้สักครู่ แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น

4. บำรุง
ครีมมันฝรั่ง
 ขี้ผึ้ง 3 3/4 ช้อนโต๊ะ
 น้ำมันโจโจบา 1/4 ช้อนโต๊ะ
 บอแร็กซ์ 1/4 ช้อนโต๊ะ
 น้ำต้มมันฝรั่งกรองแล้ว (เย็น) 7 1/2 ช้อนโต๊ะ
1. ใช้ความร้อนอ่อนๆละลายขี้ผึ้ง และน้ำมันให้เข้ากัน ใส่ผงบอแร็กซ์ลงไปในน้ำต้มมันฝรั่ง จากนั้นค่อยๆใส่ส่วนผสมที่ว่านี้ลงไปคนกับขี้ผึ้งที่ละลายแล้ว
2. เอาขึ้นมาจากเตาและคนต่อไปเรื่อยๆจนกระทั่งส่วนผสามเย็นตัวลง
3. ทาใบหน้านวดเบาๆเป็นวงกลม ทิ้งไว้สักครู่ จากนั้นใช้ผ้าซับออก
ข้อแนะนำ ครีมที่ได้นี้สามารถใช้ทามือได้ เป็นการเพิ่มความชุ่มชื้นกับผิว ทำให้ผิวอ่อนนุ่ม

5. สำหรับผิวมันและผิวธรรมดา
โลชั่นมันฝรั่ง
 น้ำคั้นจากมันฝรั่งดิบ 1 แก้ว
 น้ำมะเขือเทศ 1 แก้ว
1. ไสมันฝรั่งและคั้นเอาแต่น้ำใช้ผ้ากรองคั้นอีกครั้ง จากนั้นคั้นน้ำมะเขือเทศเอาแต่น้ำ
2. นำน้ำคั้นมันฝรั่งและน้ำมะเขือเทศผสมเข้าด้วยกัน ใช้สำลีชุบโลชั่นที่ได้เช็ดหน้าทั้งเช้าและเย็น
ข้อแนะนำ ควรเก็บโลชั่นสูตรทำเองไว้ในตู้เย็น

6. มืออ่อนนุ่ม
มันฝรั่งบด
 มันฝรั่ง 2-3 ลูก
 นมอุ่น 3-4 ช้อนโต๊ะ
ต้มมันฝรั่งให้สุก ปอกเปลือกและบดให้เละ ใส่นมลงไปคนให้เข้ากัน แล้วจึงนำมาพอกมือให้หนา ทิ้งไว้ครึ่งชั่วโมงค่อยล้างออก ผิวมือจะนุ่มขึ้น

พิชิตสิวให้เป็นสาวหน้าใส
จากผลการศึกษาพบว่า 70% ผิวหน้าของผู้หญิงไทยเป็นผิวมัน โดยเฉพาะกว่า 40% อายุระหว่าง 15-29 ปีจะมีความวิตกเรื่องสิวเสี้ยน สิวอักเสบ หรือสิวหัวดำที่ผุดขึ้นอยู่ตามใบหน้าเป็นอันดับหนึ่ง ถ้าจะยอมรับว่าสิวเป็นเรื่องธรรมชาติก็คงจะไม่สร้างความหนักใจเท่าไหร่นัก อันที่จริงแล้ว สิว” เกิดจากการอุดตันของต่อมไขมัน เมื่อใช้มือซึ่งอาจมีเชื่อโรคหรือสิ่งสกปรกติดอยู่ไปสัมผัสกับผิวหน้าบ่อยๆจะทำให้เกิดการอักเสบของผิว เกิดเป็น”สิว” ขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ

ส่วน สิวเสี้ยน” เกิดจากต่อมไขมันบริเวณใบหน้าผลิตไขมันส่งออกมาตามรูขุมขนมากเกินไป เมื่อรวมตัวกับเซลล์ที่ตายไปแล้วหรือ “ขี้ไคล” จะทำให้รูขุมขนอุดตันเกิดเป็นสิวเสี้ยน” สังเกตเห็นเป็นจุดดำๆหรือดูเหมือนมีหนามแหลมเล็กๆยื่นออกมาทางรูขุมขนบริเวณจมูก หน้าผาก แก้ม ข้างจมูก และคาง ถ้าลองบีบดูจะเห็นเป็นเส้นสีขาวๆบางๆ ซึ่งเส้นพวกนี้จะมีเชื้อแบคทีเรีย ไขมัน เซลล์ที่บุท่อไขมัน และขนอ่อนประมาณ 6-50 เส้น (ทำให้เราเห็นสิวเสี้ยนเป็นสีดำไงล่ะคะ)

เคล็ดลับง่ายๆกำจัดสิว
อย่ารบกวนผิวหน้า โดยเฉพาะอย่าใช้มือไปสัมผัส ลูบคลำ บีบหรือแกะสิวเสี้ยน เพราะจะยิ่งทำให้เกิดเป็นสิวอักเสบลุกลามมากขึ้นและทำให้รูขุมขนขยายกว้างขึ้น ใบหน้าก็แลดูหยาบกร้าน ไม่เนียนเรียบและอาจกลายเป็นแผลฝากไว้ให้เป็นของแถมอีกต่างหาก
อย่าเช็ดถูหน้าแรง เพราะวิธีนี้จะยิ่งทำให้รูขุมขนหรือรากขนนั้นแตก ขนอาจจะตกค้างอยู่ในรูขุมขนได้
ทำความสะอาดใบหน้าให้สะอาดหมดจด ควรล้างหน้าวันละ 2 ครั้งด้วยน้ำสะอาดในอุณหภูมิปกติ และเลือกใช้เคลนเซอร์ให้ถูกกับผิวหน้า
ลดความเครียด พยายามทำใจให้สบาย ยิ่งเครียดมาก ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนเอสโทรเจนออกมามากขึ้น ซึ่งจะเป็นตัวไปกระตุ้นให้ต่อมไขมันทำงานมากขึ้นตามไปด้วย ผลก็คือสิวเห่อมากกว่าเดิม

แนะนำ
Clear&Quick วิธีง่ายๆในการขจัดสิวเสี้ยน รวดเร็วทันใจและขจัดได้เรียบเนียน แผ่นขจัดสิวเสี้ยน Biore’ Pore Pack อโรมาเธอราพี จากญี่ปุ่น ราคา 130 บาท (บรรจุ 10 แผ่น)
ข้อดี
ใช้ง่ายมาก โดยพรมน้ำให้เปียกทั่วจมูกซึ่งเป็นบริเวณที่เกิดสิวเสี้ยนได้มากที่สุด แนบแผ่นขจัดสิวเสี้ยนให้ติดสนิทกับผิว ทิ้งไว้ 10-15 นาทีแล้วดึงออก
สูตรเฉพาะของเนื้อครีมในแผ่นสามารถเข้าจับสิวเสี้ยนที่อุดตันอยู่ในรูขุมขนซึ่งไม่สามารถขจัดออกได้ด้วยการล้างหน้า
มีกลิ่นหอมแบบธรรมชาติแนวอโรมาเธอราพี เช่น กลิ่นส้มยูซุ กลิ่นลาเวนเดอร์และกลิ่นบัลกาเรี่ยนโรส ให้ความรู้สึกในระหว่างรอ ผลที่ได้คือผิวบริเวณจูมกเรียบเนียน รูขุมขนค่อยๆกระชับขึ้น

 ทำอย่างไรให้ดวงตามีสุขภาพดี
วันนี้ Blueberry Heart เอาเรื่องดวงตามาฝากกันค่ะ ก็แหม ผู้หญิงเราจะสวยก็ต้องสวยตั้งแต่ศรีษะจรดเท้าเลยใช่มั้ยล่ะ แต่ดวงตาก็สำคัญกับผู้หญิงเรามากๆ เช่นเดียวกับส่วนอื่นๆของร่างกายเช่นกันนะคะ

สิ่งที่ควรทำอย่างยิ่ง

–  อย่าลืมที่จะไปตรวจดวงตาและสายตาทุกๆสองปี และสำหรับเด็กๆและคนที่มีอายุหน่อย (เกษียรแล้ว) ควรตรวจเป็นประจำทุกๆปีนะคะ

–  อ่านหนังสือหรือทำงานในที่ๆมีแสงสว่างอย่างเพียงพอ หลีกเลี่ยงแสงสว่างที่จ้าเกินไปและที่เป็นเพียงเงา เพราะจะทำให้เราต้องเพ่งดู

–  พักสายตาทุกๆ 30 นาที ถ้าเราอ่านหนังสือ เย็บผ้า หรือใช้คอมพิวเตอร์นานๆ เราอาจจะมองออกไปยังที่ไกลๆบ้าง

–  คอมพิวเตอร์และโทรทัศน์ควรอยู่ในระยะที่สายตาเรามองเห็นได้ชัด แต่ไม่ควรจะใกล้เกินไป

–  หากต้องทำงานเกี่ยวกับสารเคมี เลื่อยไม้ หรือใช้เครื่องมือต่างๆ ควรสวมแว่นนิรภัยเพื่อป้องกันสายตาของเราด้วย

–  สำหรับใครที่ชอบเล่นกีฬาประเภทสคอทช์แล้วล่ะก็ จะมีแว่นเฉพาะนักกีฬา อย่าลืมหามาใส่ด้วยนะจ๊ะ

–  เมื่อต้องออกกลางแสงแดด แว่นกันแดดเป็นสิ่งจำเป็นค่ะ

–  จะไปว่ายน้ำอย่าลืมนำแว่นว่ายน้ำติดตัวไปด้วยนะคะ เพราะนอกจากจะทำให้เราว่ายน้ำได้สะดวก ยังทำให้เราปกป้องสายตาจากสิ่งสกปรกในน้ำได้อีกด้วยล่ะค่ะ


สิ่งที่ไม่ควรทำ

–  มองไปยังพระอาทิตย์โดยตรง แม้ว่าจะอยากดูสุริยุปราคาแค่ไหน เพราะว่าแม้เพียงน้อยนิดก็สามารถทำลายดวงตาของเราได้ และเช่นเดียวกับแสงจ้าชนิดอื่นๆด้วยนะคะ ถ้าจ้ามากๆก็ควรเลี่ยงจะดีกว่า

–  อย่าขยี้ตา โดยเฉพาะเวลาที่รู้ว่ามีอะไรเข้ามาในตาของเรา พยายามกระพริบตาและล้างด้วยน้ำเย็น ถ้ามันไม่ออกก็ควรพบแพทย์ค่ะ


หลายๆคนบอกว่าเรื่องพวกนี้รู้ดีอยู่แล้ว ฟังมาตั้งแต่เด็กๆ แต่มักไม่ปฎิบัติกันสักเท่าไร เมื่อมีอายุมากขึ้นจะทำให้เกิดปัญหากับสายตาได้นะจ๊ะ อย่าหาว่าไม่เตือนล่ะ

ตาสวย…เราช่วยได้
ครีมทารอบดวงตา การใช้ครีมรอบดวงตา (Eye Cream) เพื่อไม่ให้ผิวบริเวณนั้นเหี่ยวย่นเป็นริ้วรอยเร็ว ให้คุณใช้แผ่นสำลีหรือแผ่นกระดาษเนื้อนุ่มชุบโลชั่นสำหรับทำความสะอาดรอบดวงตาโดยเฉพาะวางบนหนังตาที่ปิดสนิทเบาๆและค่อยๆเช็ดอย่างนุ่มนวล จากด้านในออกด้านนอก จากนั้นพับแผ่นสำลีครึ่งหนึ่งแล้วใช้มุมสำลีเช็ดจากมุมขอบตาด้านล่างไปถึงหางตา

ผลิตภัณฑ์พิเศษทะนุถนอมผิวรอบดวงตา ผิวรอบดวงตาจำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความชุ่มชื้นเป็นพิเศษ ให้แตะครีมทารอบดวงตาแล้วแตะเคาะเบาๆให้เนื้อครีมซึมเข้าผิวหนังอย่าถูครีมหรือลากนิ้วมือแรงๆเพราะจะก่อให้เกิดริ้วรอยย่นได้ง่าย

วิธีอื่นที่ช่วยลดริ้วรอยย่น คือการทำให้กล้ามเนื้อรอบดวงตาแข็งแรง ลองปิดตาแล้วใช้นิ้วมือสองนิ้วยกมุมตาด้านนอกขึ้นเบาๆสักประมาณ 10 วินาที ลองทำ 5 ครั้ง

ป้องกันรอยคล้ำรอบดวงตา วิธีที่จะป้องกันไม่ให้เกิดรอยคล้ำรอบดวงตาก็คือ การทำให้โลหิตหมุนเวียนดีขึ้น ศัตรูตัวฉกาจที่ก่อให้เกิดรอยคล้ำรอบดวงตาก็คือ ความเครียด การนอนหลับไม่เพียงพอ ขาดวิตามิน และอื่นๆล้วนเป็นสาเหตุให้รอบดวงตาเกิดรอยคล้ำเป็นวงดูไม่สดใส เพราะมันเกิดจากเม็ดสีของเลือดที่สะท้อนออกทางผิวหนังอันบอบบาง วิธีแก้ก็คือ การใช้ผลิตภัณฑ์ที่สกัดจากสาหร่ายทะเล หรือกาเฟอีนจะทำให้การหมุนเวียนของโมเลกุลในเลือดดีขึ้นและทำให้รอยคล้ำรอบดวงตาค่อยๆจางหายไป

แผ่นมาส์กใต้ตามีประโยชน์อย่างไร ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวรอบดวงตาได้อย่างรวดเร็ว หลังจากทำความสะอาดผิวหน้าและรอบดวงตาแล้ว ให้ประคบแผ่นมาส์กใต้ตาสักประมาณ 15 นาที แล้วค่อยลอกออกอย่างระมัดระวัง

ความเย็นช่วยลดอาการบวมของหนังตา ความเย็นจะช่วยให้เซลล์ใต้ผิวหนังตึงขึ้นและสลายน้ำที่คั่งค้างอยู่ ให้ใช้มาส์กเจลที่แช่ไว้ในตู้เย็น (อย่าแช่ไว้ในช่องแข็ง) ประคบที่ตาสัก 10 นาที

ถุงชาดำช่วยลดอาการบวมของหนังตา สารที่มีอยู่ในชาดำจะช่วยลดอาการบวมของหนังตา ใช้ถุงชาดำที่แช่น้ำร้อนทิ้งไว้ให้เย็นแล้วนำมาประคบไว้บนหนังตา 5 นาที

ให้ดวงตาได้อาบน้ำเสียบ้าง หากดวงตาได้อาบน้ำให้ชุ่มฉ่ำจะช่วยลดอาการตาแดงได้ ด้วยการใช้แผ่นใส่น้ำที่ใช้สำหรับดวงตาโดยเฉพาะ นำมาประคบดวงตาโดยลืมตาไว้ หันศรีษะไปด้านหลังและบริหารตาด้วยการลิ้งดวงตาไปมา

อาหารสำหรับตาสวย ดวงตาต้องการวิตามินที่สำคัญๆ เช่น วิตามินเอและบี วิตามินทั้งสองชนิดนี้ทำให้สายตาแข็งแรงและดวงตาแจ่มใสแวววาว วิตามินเอและบี มีมากในแครอต เนยแข็ง นม และผลไม้จำพวกส้ม

แสบตาและตาแดงแก้ไขได้ ความเย็นจากแอร์และรังสีจากจอคอมพิวเตอร์ทำให้น้ำที่หล่อเลี้ยงดวงตาแห้งผากได้ จึงก่อให้เกิดอาการระคายเคือง แสบตา และตาแดงได้ จึงควรดื่มน้ำหรือชาสมุนไพรให้ได้วันละ 3 ลิตร และอาจใช้น้ำตาเทียมช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับดวงตา แต่ที่ดีที่สุดคือควรให้แพทย์ตรวจและเป็นผู้

สั่งยาหยอดตาให้

มาส์กหน้า คืนชีวิตผิว
เมื่อผิวแห้งหยาบกระด้าง เมื่อยล้าและซีดเซียว คุณสามารถช่วยผิวของคุณให้กลับคืนความมีชีวิตชีวาและชุ่มชื้นเปล่งปลั่งด้วยการมาส์กหน้าอย่างสม่ำเสมอ ด้วยของจากธรรมชาติใกล้ตัวที่มีประโยชน์ เพราะการมาส์กหน้าให้ผลดีมากกับผิวมีปัญหา โดยเฉพาะหน้าฝน หากไม่อยากออกจากบ้านไปไหน เหมาะนักที่จะใช้เวลาปรุงโฉมให้ไฉไล

           ผักชีฝรั่ง (Parsley)สำหรับผู้ที่มีผิวแห้ง ผิวมีปัญหาที่มักมีสิวธรรมดาและสิวหัวดำ คุณสามารถช่วยรักษาผิวหน้าของคุณได้อย่างรวดเร็วด้วยการมาส์กหน้าสูตรผักชีฝรั่งที่ให้ความชุ่มชื่นกับผิวได้มากและทำให้ผิวสดใส
สูตรมาส์กหน้า นำผักชีฝรั่งบดครึ่งถ้วยและโยเกิร์ตรสธรรมชาติ 3 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน แล้วนำมามาส์กหน้าไว้ 20 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่น

           มะนาว สำหรับผิวที่มีปัญหาแสบคัน เมื่อยล้าและซีดเซียว การมาส์กหน้าด้วยมะนาวจะทำให้ผิวหน้ากระชับ เต่งตึง ผิวแก้มเปล่งปลั่งสดใส เพราะมะนาวมีวิตามินซีและน้ำมันหอมเป็นจำนวนมาก
สูตรมาส์กหน้า ไข่แดง 1 ฟองผสมกับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา นำมามาส์กหน้าทิ้งไว้ 20 นาที

น้ำผึ้ง น้ำผึงทำให้ผิวแข็งแรงและช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นให้กับผิว เมื่อผิวแห้งจะทำให้เกิดริ้วรอยย่นบนใบหน้าได้ง่าย แก้ไขได้ด้วยการมาส์กหน้าด้วยน้ำผึงผสมโยเกิร์ตรสธรรมชาติ
สูตรมาส์กหน้า น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับโยเกิร์ต 2 ช้อนโต๊ะ และเหยาะน้ำมันมะกอกผสมลงไปนิดหน่อย คนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันแล้วนำมามาส์กหน้าไว้ 15 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่น

โคลนทะเล โคลนทะเลมีแร่ธาตุและเกลือแร่ที่จำเป็นในปริมาณมากซึ่งช่วยปลุกให้กระบวนการผลิตเซลล์ผิวใหม่กระปรี้กระเปร่า ทำให้โลหิตไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงผิวหน้าได้ดี และขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกไป ช่วยลดริ้วรอยยับย่นทำให้ผิวสดชื่นและผ่อนคลาย

แก้ปัญหาผิวซีดเซียว
          เมื่อผิวซีดเซียวหม่นหมอง เราสามารถเติมพลังความชุ่มชื้นสดใสให้กับผิวได้ด้วยสูตรมาส์กหน้าดังนี้
สูตรมาส์กหน้า โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 4 ช้อนโต๊ะ น้ำมันมะกอก 15 หยด และไข่แดง 1 ฟอง มาส์กหน้าทิ้งไว้ 15 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่น

สาหร่ายทะเลต้านริ้วรอย สาหร่ายทะเลมีแร่ธาตุที่ช่วยในการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิว ให้ความชุ่มชื้น ทำให้ผิวเต่งตึงและเนียนนวล นอกจากนี้ยังมีวิตามินเอที่ช่วยในการผลิตเซลล์ผิวใหม่ด้วย ใช้สาหร่ายทะเลผงคนกับน้ำแล้วมาส์กหน้าไว้ประมาณ 10 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่น

ลองนำไปใช้ดูนะคะ เลือกสูตรที่เหมาะกับตัวเอง วันว่างๆหรือวันที่เราอยากจะผ่อนคลาย จะทำให้เรารู้สึกดีขึ้นและผ่อนคลายจากความเครียดได้ค่ะ

SHARE NOW

Facebook Comments