เทียบกันชัดๆ น้ำมันหมู VS น้ำมันพืช น้ำมันแบบไหน ดีต่อใจมากกว่ากัน
เป็นที่ถกเถียงกันมาอย่างเนิ่นนานแล้วว่าระหว่าง น้ำมันหมูกับน้ำมันพืช น้ำมันชนิดไหนที่จะปลอดภัยต่อสุขภาพ และควรเลือกใช้มากกว่ากัน บางคนก็ว่าน้ำมันหมูมีไขมันอิ่มตัวสูง ไม่เกิดไขมันทรานส์ บ้างก็ว่าน้ำมันพืชมีไขมันไม่ดีน้อยกว่า ทำให้มีคอเลสเตอรอลน้อยกว่าน้ำมันหมู ความจริงแล้วน้ำมันแบบไหนถึงจะดีกว่ากันแน่ Hello คุณหมอ มีสาระน่าสนใจมาฝากกัน
น้ำมันหมูกับน้ำมันพืช อย่างไหนดีกว่ากัน
น้ำมันหมู
ข้อดี
มีวิตามินดีสูง ภายในน้ำมันหมูนั้นจะอุดมไปด้วยวิตามินดี โดยปกติแล้วในน้ำมันหมู 1 ช้อนโต๊ะ จะให้วิตามินดีกว่า 500-1000 IU จึงนับได้ว่าเป็นแหล่งสำคัญของวิตามินดี รองจากน้ำมันตับปลา
เหมาะสำหรับนำไปประกอบอาหาร น้ำมันหมูนั้นจะมีจุดเดือดสูง สามารถทนความร้อนได้ดีกว่าน้ำมันพืช จึงทำให้เหมาะสำหรับการนำไปประกอบอาหารต่างๆ เช่น การทอดหรือการผัด
ราคาถูก น้ำมันหมูนั้นเป็นน้ำมันที่มีราคาที่ค่อนข้างถูก หากเทียบกับน้ำมันพืช นอกจากนี้เรายังสามารถเจียวมันหมู เพื่อทำเป็นน้ำมันหมูเก็บไว้ใช้ได้เองง่าย ๆ ไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์หรือวิธีทำที่ยุ่งยาก โดยมันหมูประมาณ 1 กก. อาจให้น้ำมันหมูได้มากถึง 1 ลิตร
ข้อเสีย
คอเลสเตอรอลสูง น้ำมันหมูนั้นแตกต่างจากน้ำมันพืช เนื่องจากมีคอเลสเตอรอลสูง เพราะส่วนประกอบของน้ำมันหมูจะเป็นไขมันอิ่มตัว ที่หากรับประทานในปริมาณมาก ก็อาจทำให้เกิดไขมันไม่ดี (LDL) และคอเลสเตอรอลได้ ในน้ำมันหมู 1 ช้อนโต๊ะ จะมีคอเลสเตอรอลอยู่ประมาณ 9 มก.
เสี่ยงโรค การรับประทานน้ำมันหมูในปริมาณมาก อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคในกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-communicable diseases; NCDs) เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง หรือโรคอ้วน เป็นต้น
น้ำมันพืช
ข้อดี
ไม่มีคอเรสเตอรอล ในน้ำมันพืชส่วนใหญ่นั้นจะไม่มีคอเลสเตอรอล และไขมันไม่ดี จึงไม่ทำให้เกิดความเสี่ยงในการในกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ต่างจากน้ำมันหมู
ดีต่อสุขภาพหัวใจ ส่วนประกอบในน้ำมันพืชนั้นคือไขมันไม่อิ่มตัว ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจ เช่น น้ำมันถั่วเหลือง สามารถช่วยควบคุมระดับของคอเลสเตอรอลได้ จึงทำให้ดีต่อสุขภาพของหัวใจ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดและหัวใจได้
วิตามินสูง น้ำมันพืชนั้นอุดมไปด้วยวิตามินต่าง ๆ ที่สำคัญต่อร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และวิตามินเค การได้รับวิตามินเหล่านี้อย่างเพียงพอ จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง และสามารถทำงานได้ตามปกติ
เพิ่มรสชาติอาหาร น้ำมันพืชบางชนิด เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันงา หรือน้ำมันถั่วเหลือง นอกจากจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจแล้ว ยังสามารถช่วยเพิ่มกลิ่นและรสชาติของอาหารให้มากขึ้นอีกด้วย โดยเฉพาะน้ำมันงาและน้ำมันมะกอกที่เรามักจะใช้ราดหน้าอาหาร เพื่อให้อาหารมีกลิ่นหอม น่ากิน
ข้อเสีย
เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดการอักเสบ ในน้ำมันพืชบางชนิด อาจจะมีกรดไขมันโอเมก้า 6 สูง โดยเฉพาะน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกทานตะวัน หรือน้ำมันงา แม้ว่ากรดไขมันนี้จะมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่การบริโภคในปริมาณมากเกินไป อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอาการอักเสบ และการเกิดโรคอื่นๆ เพิ่มขึ้นอีกด้วย
ไขมันทรานส์ (Trans fat) ไขมันทรานส์เป็นไขมันไม่อิ่มตัว ที่มักจะเกิดขึ้นจากการนำน้ำมันพืชไปเป็นส่วนประกอบ เช่น ในเนยเทียม ครีมเทียม เป็นต้น ไขมันทรานส์นั้นอาจทำให้ระดับของไขมันไม่มี คอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) ในร่างกายสูงขึ้น และเพิ่มโอกาสในการเกิดโรคหัวใจได้
เหม็นหืนง่าย ไขมันไม่อิ่มตัวที่อยู่ในน้ำมันพืชเหล่านี้ จะง่ายต่อการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Oxidation) เมื่อสัมผัสกับอากาศ ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นหืนได้ง่าย และหากนำไปประกอบอาหารก็จะทำให้อาหารมีรสชาติด้อยลง
สรุปได้ว่า
ทั้งน้ำมันหมูและน้ำมันพืช ต่างก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียด้วยกันทั้งนั้น สิ่งสำคัญคือการเลือกใช้น้ำมันอย่างถูกต้อง และเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ในการประกอบอาหาร เช่น น้ำมันหมูนั้นจะมีจุดเดือดสูงกว่า เหมาะสำหรับการนำไปใช้ทอด ในขณะที่น้ำมันพืชบางชนิด เช่น น้ำมันมะกอก นั้นจะมีจุดเดือดต่ำ ไม่ควรโดนความร้อน เหมาะสำหรับจะนำไปราดหน้าบนอาหาร หรือใช้เป็นน้ำสลัด
สุดท้ายนี้ ไม่ว่าคุณจะเลือกใช้น้ำมันประเภทไหน ก็ควรเลือกบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และอย่าลืมออกกำลังกาย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการสะสมของไขมันในร่างกาย ที่อาจนำไปสู่โรคร้ายต่างๆ เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง หรือโรคอ้วน
Hello Health Group
Facebook Comments